Followers

Thursday, July 19, 2018

Happiness is here and now - Plum Village Song


Youtube: Happiness is here and now - Plum Village Song
Post by: phuongboipress phapcau
Published on Nov 8,2011


14:29 p.m.
In my room


วันศุกร์หน้าคือวันที่ 28 กรกฎาคม 2561-ตรงกับวัน"เข้าพรรษา"-และยังตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ด้วย-พวกคุณวางแผนจำศีลในระยะเวลา 3 เดือนนี้กันไหม--ก่อนที่จะสวมใส่เสื้อผ้าสีขาว-เราควรอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดเสียก่อน-เพราะไม่เช่นนั้น-คราบสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามตัว-อาจจะเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าสีขาวนั้นได้-ฉันใดก็ฉันนั้น-ก่อนเข้าสู่ฤดูจำศีล-เราก็ควรจะชำระชะล้างจิตใจให้สะอาดเสียก่อน-เพื่อผลอันสูงสุด


คนที่ศึกษาศาสนาพุทธ นิกายเซ็น-หรือเคยได้ยินได้ฟังเรื่องเซ็นมาบ้าง-ต้องเคยได้ยินชื่อพระอาจารย์ ติช นัท ฮันห์(Thich Nhat Hanh)-พระภิกษุชาวเวียตนาม-ซึ่งเป็นฉายาในทางศาสนา-โดยคำว่า-"ติช" เป็นคำใช้เรียกพระ-"นัท ฮันห์" เป็นนามทางธรรม หมายความว่า"การกระทำเพียงหนึ่ง"(One Action)-และท่านเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักปฏิบัติธรรมชาวตะวันตก


ท่านเป็นผู้นำในการรณรงค์เพื่อหยุดสนับสนุนสงครามในเวียตนาม-แต่รัฐบาลเวียตนามปฏิเสธไม่ยอมรับ-ทำให้ท่านต้องลี้ภัยอย่างเป็นทางการไปที่ประเทศฝรั่งเศส-และก่อตั้ง"หมู่บ้านพลัม"(Plum Village)-ที่เมืองบอร์โดซ์-เพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของชุมชนสงฆ์ของท่าน


การปฏิบัติธรรมที่นี่-เป็นการปฏิบัติธรรมแห่งพุทธบริษัท 4(ภิกษุ,ภิกษุณี,อุบาสก,อุบาสิกา)-ที่เน้นการเจริญ"สติ"ในชีวิตประจำวัน-อย่างตระหนักรู้ในแต่ละลมหายใจเข้าออก-และกลับมาอยู่ใน"ปัจจุบันขณะ"!!



-"Happiness is here and now"-


Happiness is here and now  ณ ตรงนี้ ที่ฉันสุขใจ

I have dropped my worries  สุขเมื่อปล่อยวางความกังวล

nowhere to go, nothing to do  ไม่ไปที่ไหน ไม่ทำเรื่องใด

no longer in a hurry  เราจึงไม่...ต้องรีบเร่ง


Happiness is here and now  ณ ตรงนี้ ที่ใจฉันสุข

I have dropped my worries  สุขเมื่อปล่อยวางความกังวล

somewhere to go, something to do  จะไปที่ไหน จะทำเรื่องใด

but no need a hurry  แต่เราก็ไม่...ต้องรีบเร่ง



ขอให้พบ"ความว่าง"นะ   แล้วเจอกัน







Wednesday, July 18, 2018

หนังเรื่องนี้ทำให้ผมพูดภาษาอังกฤษได้ภายใน 2 เดือน ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอ...


Youtube: หนังเรื่องนี้ทำให้ผมพูดภาษาอังกฤษได้ภายใน 2 เดือน ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง เรียนเองก็เก่งได้
Post by: UNFOX
Published on Jul 23,2018


9:55 p.m.
In my room


วันนี้-ฉันขอพักเรื่องราวทางพุทธศาสนาไว้ก่อนสักหนึ่งวัน-เพราะเปิดไปเจอยูทูปของน้องคนนี้เข้า-น้องเขาชื่อ"แลคต้า"-นอกจากคำพูดซื่อๆ-ที่เล่าให้ฟังถึงความพยายาม-และความตั้งใจในการฝึกพูดภาษาอังกฤษของเขาแล้ว-ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกได้ในตัวของน้องคนนี้-คือ-ความขยันและความเชื่อมั่นในตนเองว่าเขาต้องทำได้-ทำให้ฉันประทับใจ-นี่ถ้าเป็นนักกีฬา-ก็ชนะตั้งแต่ยังไม่ลงสนามเลยทีเดียว


น้องแลคต้าทักทายผู้ชม-"What's up everyone. Welcome to UNFOX channel. If you are new to this channel, and see this video for the first time, again my name is Lacta. And this channel, we are going to share about tips and technics how to learn English by yourself. So, don't forget to Subscribe and hit the bell button to get notifications when I upload the new video in the future. Okay, let's start"


"วันนี้ผมจะมาแชร์ในเรื่องของตัวเองที่ผมสามารถพูดภาษาอังกฤษได้-จากการเรียนรู้จากหนังเรื่องนึงที่ผมชอบมากๆซึ่งก็คือเรื่อง"Twilight ภาค 1"-เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อย้อนไปประมาณ 3 ปีที่แล้ว-ตอนที่ผมเรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ-และอยู่ในช่วงที่กำลังหางานทำ-ในความรู้สึกตอนนั้นก็แบบอยากได้งานที่ต้องทำกับชาวต่างชาติ-เพราะจะได้ใช้ภาษาอังกฤษไปด้วย..."


"แต่บังเอิญว่าไปได้งานอยู่ในบริษัทญี่ปุ่น-ซึ่งเป็นบริษัทที่มีแต่ชาวญี่ปุ่นล้วนๆและพูดภาษาไทยได้-ก็กลายเป็นว่าสื่อสารกันเป็นภาษาไทย-สภาพแวดล้อมในบริษัททั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่น-จนคิดว่าในตอนนั้นน่ะจะเรียนภาษาญี่ปุ่นแล้ว..."


"พอทำงานไปได้ซักพักเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่แบบที่เราอยากได้-คือเราอยากทำงานในบริษัทที่เค้าใช้ภาษาอังกฤษ-เอาง่ายๆคือ-ได้ทำงานในบริษัทที่มีฝรั่ง-แล้วเราได้คุยกับฝรั่ง-เพราะว่าถ้าจะเรียนภาษาอังกฤษเราก็ต้องเรียนจากเจ้าของภาษา native speaker ใช่มั้ยครับ-นั่นแหละก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ว่า-ต้องมาจริงจังกับการเรียนภาษาอังกฤษแล้ว!!..."


"ในตอนนั้นผมก็พอที่จะเข้าใจภาษาอังกฤษ-สามารถพูดได้งูๆปลาๆนิดหน่อย(หัวเราะขำตัวเอง)-คือมันได้เป็นคำๆ-พูดได้ทีละประโยค-ที่ได้ทีละประโยคนี่คือ-ต้องคิดในหัวก่อน-คิดเป็นภาษาไทย-เรียงประโยค-ต้องออกเสียงยังไง-แล้วค่อยพูดออกมา-มันก็เลยได้ทีละประโยค-พูดต่อเนื่องกันยาวๆไม่ได้-แล้วเวลาการฟังนี่มันก็ไม่ได้ฟังรู้เรื่องทั้งหมด-มันก็ต้องฟังทีละประโยค,สองประโยคง่ายๆ..."


"ก็เลยกลับมานั่งคิดกับตัวเองว่า-ทำยังไงที่จะให้ตัวเราเก่งภาษาอังกฤษ-วิธีการ-ก็คือ"ต้องเรียนด้วยตัวเอง"-พอดีเคยอ่านในกระทู้-ค้นเจอในกูเกิ้ลว่ามันมีวิธีการเรียนภาษาอังกฤษจากการดูหนัง-ถ้าเราทำแบบจริงจัง!!..."


"ก็เลยคิดว่า-หลังเลิกงานเรามีเวลา-และตอนที่นั่งรถเมล์ไปทำงานด้วย-เราก็ใช้เวลานั้นน่ะเรียนจากหนังได้--ผมก็เลยเลือกหนัง"Twilight"เรื่องนี้แหละ-ซึ่งเป็นหนังที่ผมชอบ-ที่เราจะดูได้เรื่อยๆไม่เบื่อ-เพราะว่าการที่เราจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากการดูหนังเนี่ย-มันต้องดูซ้ำไปซ้ำมา--ผมใช้เวลาอยู่ 2 เดือน-ดูหนังเรื่องนี้ทุกวัน-เช้าตอนไปทำงาน-เย็นตอนกลับมาที่ห้อง-และก่อนนอน..."


"ถ้าทุกคนจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยการดูหนัง-จะต้องเลือกหนังที่ตัวเองชอบ-และก็ดูได้บ่อยจริงๆไม่เบื่อ-ที่เรารู้สึกว่าเราชอบตัวละคร-ที่รู้สึกว่าเราชอบเนื้อเรื่อง-และเราจำเนื้อเรื่องได้-จะได้มีแรงบันดาลใจที่เราจะดูหนังโดยที่เป็นภาษาอังกฤษและไม่มีซับไตเติ้ลบรรยายภาษาไทย..."


"ใน 1 เดือนแรก-ผมไม่ได้ดูหมดทั้งเรื่อง-ผมดูแค่ 20 นาทีแรก-พอหมด 20 นาทีแรกปุ๊บ-ผมก็ย้อนกลับไปดู 20 นาทีแรกอีก-ผมทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา-วนไปวนมาอยู่ 1 เดือน--ตอนนั่งรถเมล์ไปทำงานก็ดูได้ประมาณรอบครึ่ง-ตอนก่อนนอนก็ได้ประมาณ 2 รอบ-ก็ตีไปซะว่าประมาณ 3 รอบละกัน--เมื่อเวลาผ่านไป 1 เดือน-มันทำให้ผมฟังทั้งหมดของหนัง 20 นาทีแรกออก-จากที่ผมดูทุกวันๆละ 3 รอบนั่นแหละ..."


"พอมาเดือนที่ 2-ผมก็ดูตั้งแต่ต้นจนจบเลย-แล้วผมก็ทำแบบเดิมนี้อีกเป็นเวลา 2 เดือน-และฝึกพูดและออกเสียงตามให้เหมือนในหนัง-ถ้าตอนไหนเร็วๆ-ผมก็กรอ-กลับไปกลับมา-จนผมรู้สึกว่าผมออกเสียงตามเค้าได้--เวลา 2 เดือน-ผมดูไม่รู้กี่ร้อยรอบ-จำได้ทุกๆคำพูด-จนผมพูดตามตัวละครได้ทุกคำเลยเวลาที่นั่งดูหนัง-แล้วก็รู้สึกว่า-"เฮ้ย!เราก็พูดได้นี่หว่า"-แล้วผมเข้าใจคำที่เค้าพูดด้วย-ถึงแปลไม่ออกในตอนแรกนะ-แต่พอฟังเป็นร้อยๆรอบมันก็ต้องเข้าใจ-มันมีหลายประโยคหลายคำมากที่ผมเข้าใจเอง-โดยที่ไม่ได้เปิดดิกชันนารี-เพราะบริบทในหนัง-และเนื้อเรื่องที่มันพาไป-มันก็เลยเข้าใจไปเอง..."


"หลังจากนั้น 2 เดือนผมก็เริ่มมั่นใจที่จะหางานใหม่-โดยที่ยังไม่ได้งานใหม่นะ-คือลาออกมาก่อน-แล้วก็ยื่นใบสมัครไปบริษัทที่มีชาวต่างชาติทำงานอยู่ด้วย-ซึ่งก็ต้องเป็น native speaker อังกฤษ,อเมริกา-ทางบริษัทตอบอีเมล์กลับมาให้ผมไปสัมภาษณ์-และคนสัมภาษณ์เป็นฝรั่ง-จำได้ว่าผลจากการที่ผมดูหนังทุกวัน-พูดตามหนังทุกวัน-ทำให้ผมหยิบเอาประโยคจากในหนังนั้นแหละมา adapt นิดหน่อย-แล้วก็พูดเป็นภาษาของตัวเองตอนสัมภาษณ์งาน-ซึ่งก็ไม่ได้เก่งมากนะ-ก็ยังติดขัดเยอะอยู่มาก-บางทีแกรมม่าก็ยังผิดอยู่-ผมว่าผมไม่ใช่คนที่มีความสามารถเก่งกว่าคนอื่นนะ-แต่ว่าในการสื่อสารภาษาอังกฤษผมมั่นใจที่จะพูด"


"วิธีเรียนรู้จากการดูหนังมันก็ทำให้ตัวผมเองเก่งขึ้นมาได้-จากคนพูดได้แค่บางประโยค-แล้วยังคิดเป็นภาษาไทยอยู่เลย-ใช้เวลาแค่ 2 เดือน-อยู่กับหนังที่เป็นภาษาอังกฤษ-วันละแค่ไม่ถึง 2 ชั่วโมง-มันก็ทำให้เปลี่ยนจากคนนึง-ไปเป็นอีกคนนึง-มันไม่ได้แค่ว่าผมเก่งขึ้นเฉยๆ-แต่มันยังมาพร้อมกับ"โอกาส"ในชีวิตผม-ที่ผมจะได้ทำงานอย่างที่ผมอยากทำ..."


"พอผมเข้าไปทำงานจริงๆ-ตรงนั้นแหละมันคือภาษาอังกฤษจริงๆที่ผมจะต้องเจอ!!--มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่า-เออผมเพิ่งได้แค่เสี้ยวเดียวนิดหน่อยเอง-เข้าไปประชุมงานวันแรก-"ไม่รู้เรื่องเลย!!"-คนอื่นเค้า-โอ้โห-ทำไมเค้ากล้าพูดจังเลย-ทำไมเค้าเก่งจังเลย--จริงๆแล้ว-เค้ากับเราก็ไม่ได้เก่งกว่ากันมากเท่าไหร่-เค้าแค่มีประสบการณ์-เค้าแค่เคยพูดกับฝรั่งแบบนี้บ่อยอยู่แล้ว-เค้าก็เลยมีความมั่นใจ--เพราะฉะนั้น--"ภาษาอังกฤษไม่ได้อยู่ที่ว่าใครเก่งกว่าใคร-แต่อยู่ที่ว่า-ใครกล้าที่จะพูดมากกว่า!!"-แล้วการที่เราจะกล้าพูดได้เก่งพูดได้คล่องนี่อยู่ที่ว่า-เราจะฝึกความมั่นใจให้ตัวเองพูดออกไปได้มากน้อยแค่ไหน-ยิ่งเราพูดบ่อย-มันก็ยิ่งคล่องมากขึ้น-อะไรที่เราฝึกทำบ่อยๆ-มันก็คล่อง-มันก็ชิน-มันก็เป็นอัตโนมัติ-นั่นแหละที่เค้าเรียกว่า"ประสบการณ์"..."


"คนที่กำลังเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตัวเองอยู่นะครับ-ผมจะบอกว่า-มันสามารถเป็นจริงได้--แต่มันมีข้อแม้ว่า--เราต้องตั้งใจและก็มุ่งมั่น-ทำมันจริงๆ!!"


"ทุกวันนี้ผมไม่ได้ทำงานแล้ว-ผมลาออกจากที่ทำงานงานมาแล้ว-ผมก็ยังต้องฝึกฝนพัฒนาอยู่เรื่อยๆเพราะว่าก็ยังไม่ได้เก่งมาก-เพราะผมไม่ใช่คนที่จะไปคุยกับฝรั่งตลอดเวลา-ตอนนี้ไม่ได้ทำงาน-โอกาสที่จะได้ฝึกพูดฝึกสนทนากับฝรั่งมันก็ไม่ค่อยมีแล้ว-เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมทำได้คือ-ดูหนัง,ดูซีรีย์,ดูยูทูป,ดูจากสื่อต่างๆที่เรามีอยู่ในมือ-ทุกวันนี้มีอินเตอร์เน็ต-แล้วโอกาสมีอยู่รอบตัว-"ทำไมเราไม่เริ่มต้นซะที?"-เรามัวแต่ไปโทษว่ามันยาก-เราไม่มีเวลา-ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง-จริงๆมันไม่ได้ผิดที่อย่างอื่นเลย-"มันผิดที่ตัวเราเอง!"-ลองถามตัวเองดีๆว่า-วันนี้เราจริงจังกับมันหรือยัง-วันนี้เราอาจจะรู้สึกจริงจัง-แต่พรุ่งนี้ยังจริงจังอยู่มั้ย-ถ้าเราสามารถจริงจังต่อไปได้-10 วัน,20 วัน,30 วัน,เป็นเดือน,เป็นสองเดือนเหมือนผม-ผมว่าผมทำได้-ทุกคนก็ทำได้-เพราะฉะนั้นถ้าอยากเก่งก็ตั้งใจที่จะฝึกตัวเองต่อไปนะครับ"



ในฐานะ English Tutor ฉันมักบอกนักเรียนในคลาสเสมอๆ-และดูเหมือนจะเป็นสโลแกนประจำตัวของฉันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า-ในภาษาอังกฤษแค่-"จำได้ ใช้บ่อย"-ก็รอดแล้ว!


คืนนี้อย่านอนดึกนะ แล้วเจอกันใหม่

Tuesday, July 17, 2018

หลวงพ่อชาและหลวงพ่อสุเมโธ เผยแผ่พุทธศาสนาที่อังกฤษปี 2520


Youtube: หลวงพ่อชาและหลวงพ่อสุเมโธ เผยแผ่พุทธศาสนาที่อังกฤษ ปี 2520
Post by: vanillalulla
Published on Oct 21,2014


17:27 p.m.
In my room


ยูทูปที่ฉันนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้-เป็นเรื่องราวของการเผยแผ่พุทธศาสนา-ของหลวงพ่อชา สุภัทโท-ที่ประเทศอังกฤษ-ต่อจากไดอารี่ของเมื่อวาน-แม้ผู้ที่โพสต์ลงยูทูปจะไม่ใช่แหล่งที่มาอันเดิม-แต่เนื้อหาและเรื่องราวก็ต่อเนื่องกันได้-เพราะมีคนต้นเรื่องคนเดียวกัน


อุปมาก็คงจะเหมือนดังคำสอนในพุทธศาสนา-ที่ล้วนมาจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า-เพียงแต่ผู้ที่ถ่ายทอดคำสอน-คือพระเกจิอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหลายท่าน-หรือ-มีหลายนิกาย-หลายสำนัก-แยกกันไปตามจริตของผู้สอนและผู้เรียน-เส้นทางพ้นทุกข์มุ่งสู่"นิพพาน"-อาจจะมาจากหลายเส้นทาง-แต่ท้ายที่สุดแล้ว-เส้นทางที่ตรงสู่พระนิพพาน"มีทางเดียว"เท่านั้นคือ-"พระธรรม"


จากยูทูปเรื่องนี้-ทำให้พวกเราได้เห็นถึงความยากลำบากของหลวงพ่อชา สุภัทโท-และหลวงพ่อลูกศิษย์-ในการที่จะนำพุทธศาสนาเข้าไปเผยแผ่ยังดินแดนศริสต์ศาสนา-โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ-ซึ่งขึ้นชื่อในด้าน conservative อนุรักษนิยม


ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2522 ที่หมู่บ้าน Sussex ตะวันตก-คนในหมู่บ้านตื่นขึ้นมาวันหนึ่ง และพบกับภาพที่ไม่คุ้นตา-เพื่อนบ้านที่มาใหม่ของเขาเป็นกลุ่มพระภิกษุ-ที่กำลังออกเดินบิณฑบาต-ศาสนาของพระภิกษุกลุ่มนี้มีอยู่ทางตะวันออกมากกว่า 2,500 ปีมาแล้ว-และพระภิกษุได้เข้ามาสู่ประเทศอังกฤษเวลานี้-เพราะคนอังกฤษเริ่มมีความสนใจในพระพุทธศาสนามากขึ้น


ภิกษุกลุ่มนี้ตั้งใจที่จะดำเนินชีวิตเรียบง่าย-และปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด-ตามแบบแผนที่"พระพุทธเจ้าวางให้พระวัดป่า"ตั้งแต่ยุคแรกๆ--แม้ว่าจะมีพระหลายคณะมาอยู่ในอังกฤษก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม-แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีพระภิกษุ-ที่จะพยายามรักษาวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเอาไว้


คณะสงฆ์นี้เพิ่งย้ายเข้าไปในบ้านวิคตอเรียที่ทรุดโทรมในป่า-ที่มีพื้นที่ป่านับ 100 เอเคอร์(1 เอเคอร์ = 2.53 ไร่)-ซึ่งงานชิ้นแรกที่ต้องทำคือ-การจัดการกับข้าวของต่างๆที่ไม่ได้ใช้-เพื่อให้พอที่จะย้ายเข้าไปอยู่ได้-จุดมุ่งหมายของพระภิกษุ-คือการปล่อยวางจากทุกสิ่งทุกอย่าง-ที่อาจจะมากระทบ"งานหลักของพระ"-นั่นคือ"การเจริญมรรคภาวนา"-ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า-"เพื่อมุ่งเข้าสู่นิพพาน"


ผู้นำของคณะสงฆ์กลุ่มนี้คือ-"พระอาจารย์ชา"-ซึ่งเดินทางมาจากประเทศไทย-และใช้เวลาอยู่ 3-4 สัปดาห์-เพื่อเป็นกำลังใจให้กับพระภิกษุในการสร้างวัดใหม่แห่งนี้-หลวงพ่อชาท่านกล่าวว่า-"ในเวลานี้,ชาวตะวันตกกำลังมีความทุกข์ร้อนใจใหญ่-ไม่มีอะไรที่พอจะเป็นที่พึ่งของเขาได้-ฉะนั้น ในทางพุทธศาสนา-จะมีทางการทำสมาธิกรรมฐาน-เพื่อตัดความกังวลวุ่นวายใจ-เราได้รับเชิญมานี่เพราะว่า-ชาวตะวันตกทุกวันนี้-พร้อมที่จะตั้งอกตั้งใจ-สนใจทำความสงบ-"เพราะความวุ่นวายเป็นเหตุ!!"


ปัญหาที่ยากที่สุดสำหรับพระที่นี่-คือการอธิบายว่า-"ทำไมพระต้องออกบิณฑบาต?"-พวกเขาคิดว่าพระนั้นเป็นแค่ขอทาน-หรือว่านี่คือสิ่งจำเป็นสำหรับการปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา--เพื่ออธิบายในเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ--เมื่อแรกไปถึง-คณะสงฆ์จึงได้จัดประชุมขึ้นที่ศาลากลางหมู่บ้าน-มีการฉายสารคดีเกี่ยวกับข้อวัตรปฏิบัติ-วัดป่าต้นสังกัดในเมืองไทย


ผู้ชายมีหนวดสีทองคนหนึ่งพูดในที่ประชุมว่า-"ท่านมานี่ในชุดประหลาดๆของท่าน ผมก็คงได้แต่บอกว่า-โชคดีแล้วกัน-ถ้าท่านทำได้จริงๆแล้วหาอะไรได้ฟรีๆจากการเดินเฉยๆก็ลองดู"-(มีเสียงหัวเราะครืนใหญ่ในที่ประชุม)-"ผมหมายความอย่างนั้นจริงๆ"-เขาพูดซ้ำ-"โชคดีแล้วกัน"-(กล้องแพนจับใบหน้าของผู้หญิงสองคนในที่ประชุม,มีรอยยิ้มหยันเล็กๆที่มุมปาก)


วิธีที่ดีที่สุดที่พระจะจัดการกับความเข้าใจผิดต่างๆ-ว่าพระเป็นพวกเพี้ยนหรือหรืออาจจะเป็นกลุ่มที่อันตราย-คือ การเชิญชาวบ้านมาที่วัด-เพื่อมาดูด้วยตัวเอง-และท่านได้อธิบายเพื่อทำความเข้าใจว่า-ตามพระวินัยนั้น-พระห้ามขออาหารจากญาติโยม-และไม่ได้หวังเอาอาหารจากเพื่อนบ้านด้วย-แต่พระออกบิณฑบาตตามประเพณีปฏิบัติ-และเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับชาวบ้าน-การให้ทานเป็นการสละส่วนหนึ่งของตัวตนออกไป-ซึ่งสอดคล้องกับคำสอนเบื้องต้นของพระพุทธเจ้า


มีผู้ดูแลสวนคนหนึ่งคือ คุณวอลเตอร์ สเต็งเกิล-ซึ่งเคยเป็นทหารเยอรมันในช่วงสงคราม-เขาเคยถูกคุมขังในไซบีเรียโดยฝ่ายรัสเซีย-เคยบวชเป็นพระอยู่หลายปี-ตอนนี้เขาตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตในวัดแห่งนี้-พูดว่า--"พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าเชื่อในตัวตถาคต,หรือเชื่อในสิ่งที่ตถาคตพูด,เธอต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง-อย่าเชื่อหรือคิดไปว่าสิ่งนี้เป็นเช่นนี้หรือเช่นนั้น-ต้องคิดด้วยตัวเอง-เป็นผู้บุกเบิก-ผู้ค้นพบด้วยตัวเอง-และดูว่าเกิดอะไรขึ้น-ความหมายของชีวิตคืออะไร?-เราเกิดมาเพื่ออะไร?--เราเกิดมาเพื่อสะสมเงินทอง,ที่ดิน,บ้าน,รถ,และทรัพย์สินเท่านั้นหรือ--ผมว่าไม่นะ--"ชีวิตน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น"-เราเริ่มเบื่อหน่ายแล้วกับการที่บอกเราว่า-"Believe in me and follow me"--ตอนนี้ศาสนาพุทธกำลังมาปลุกผู้คน-เพื่อได้มารู้ด้วยตัวเองว่า-คืออะไร--สิ่งนี้เราจะไม่สามารถเข้าใจแจ่มแจ้งได้-ถ้าเราเพียงแค่พูดเฉยๆ-เหมือนเราจะไม่มีวันรู้ว่า-แอปเปิ้ลหวานหรือเปรี้ยว-"นอกจากเราจะชิมด้วยตนเอง"


หลวงพ่อชา ท่านได้อุปมาทิ้งท้ายว่า-"ธรรมะที่แท้จริงเหมือนรสของแอปเปิ้ล"-รสของแอปเปิ้ลนี้เราฟังด้วยหูก็ไม่รู้จัก-ดูด้วยตาก็ไม่รู้จักว่ารสมันเปรี้ยวหรือมันหวานอย่างใด-นอกจากคนจะเอาแอปเปิ้ลเข้าไว้ในปากแล้วก็เคี้ยว-มันก็มีเปรี้ยว มีหวาน ขึ้นมาเท่านี้-นั่นแหละเป็น"ปัจจัตตัง"-ไม่ต้องสงสัยแล้วว่ารสของแอปเปิ้ลเป็นอย่างไร?-รสของแอปเปิ้ลมันมีไหม?-ไม่ต้องไปถามคนโน้น-คนนี้อีกต่อไปแล้ว-ปัญหาก็"จบ"!!ที่ตรงนั้นเอง"-หลวงพ่อชา หัวเราะอย่างอารมณ์ดี


บุญรักษานะ  แล้วเจอกันใหม่






Monday, July 16, 2018

ทันโลก : พุทธศาสนาหยั่งรากในอิตาลี​ (20 ส.ค 59)


Youtube: ทันโลก:พุทธศาสนาหยั่งรากในอิตาลี (20 ส.ค. 59)
Post by: ThaiPBS
Published on Aug 20,2016


3:00 a.m.
In my room


สัปดาห์หน้าก็จะถึงเทศกาล"เข้าพรรษา"-ซึ่งเปรียบเสมือนเทศกาลรอมฎอนของชาวพุทธ-ที่ต้องละเว้นจากการทำบาปทั้งปวง-"เข้าพรรษา"แปลว่า"พักฝน"-วันเข้าพรรษา คือ การจำพรรษาในฤดูฝน-เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน-เพื่อการศึกษาและการทำสมาธิ-ซึ่งรวมระยะเวลา 3 เดือน-ดังนั้น-ฉันจะนำเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนา-ในหลายๆแง่มุมของสายตาชาวโลก-มาเล่าสู่กันฟัง-ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ด้วย


จากเรื่องราวในยูทูปนี้ คือรายการ"ทันโลก"ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ดำเนินรายการโดย คุณช่อผกา วิริยานนท์-ในตอน"พุทธศาสนาหยั่งรากในอิตาลี"-วัดไทย"วัดสันตจิตตาราม"-ซึ่งเป็นสาขาของวัดหนองป่าพง วัดป่าสายหลวงพ่อชา สุภัทโท


เมื่อครั้งที่หลวงพ่อชา สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง-พระวิปัสสนาจารย์สายอีสาน-ที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาออกไปเผยแผ่พุทธศาสนา-ในซีกโลกตะวันตกเป็นครั้งแรก-ที่ประเทศอังกฤษ-เมื่อปี พ.ศ.2520-ท่านได้ถูกตั้งคำถามอย่างท้าทายว่า-"ทำไมชาวบ้านถึงต้องเลี้ยงดูพระ ทั้งๆที่พระไม่ได้ทำอะไรเลย"


หลวงพ่อชาจึงตอบแบบอุปมาว่า-"ถึงบอกให้ก็ไม่รู้หรอก..มันเหมือนกับนก ที่อยากรู้เรื่องของปลาในน้ำ ถึงปลาบอกความจริง ว่าอยู่ในน้ำเป็นอย่างไร นกก็ไม่มีทางจะรู้ได้ ตราบเท่าที่นกยังไม่เป็นปลา"


คำตอบของท่านในครั้งนั้น ได้สร้างความสนใจให้เกิดขึ้นกับชาวตะวันตกเป็นอย่างมาก-สำนักข่าวบีบีซี ของประเทศอังกฤษ-ได้เดินทางมาถ่ายทำภาพยนตร์เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของศาสนาพุทธ-ที่วัดหนองป่าพง-การเติบโตของพุทธศาสนาในซีกโลกตะวันตก-จึง"เริ่มต้นขึ้น"!!-และไม่กี่ปีต่อมา-ก็เดินทางต่อมาที่ประเทศอิตาลี-โดยยึดแนวทางการเผยแผ่ตามวิธีการของหลวงพ่อชา


การทำให้ชาวตะวันตกเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย-เพราะชาวตะวันตกมีความคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล-เน้นการทดลองให้เห็นตามความจริง-ต่างจากคนไทยที่มี"ศรัทธา"เป็นตัวนำ-พร้อมจะเชื่อและทำตาม-ซึ่งแนวทางพุทธศาสนาในแนวทางของหลวงพ่อชา-ได้เปิดโอกาสให้คนเหล่านี้ได้เรียนรู้และเข้าใจธรรมะ-ด้วยการตั้งคำถาม-และ-การโต้แย้ง--นี่อาจเป็นแนวทางหนึ่ง-ที่จะนำพาพวกเขาไปสู่"การค้นพบคำตอบของสัจธรรม"-และ-"การหลุดพ้นอย่างแท้จริง"


คุณช่อผกาได้สัมภาษณ์ชาวต่างชาติท่านหนึ่ง โรเบิร์ต เบอร์โตชิ พุทธศาสนิกชนชาวอิตาเลียน-คุณช่อผกา-:"What is the question in your mind?".-โรเบิร์ต-:"The question is why am not happy?".-คุณช่อผกา-:"And what's the answer?".-โรเบิร์ต-:"The answer is really not an answer. It's a suggestion and see for yourself, practice this way and you will understand by yourself".


และความคิดเห็นชาวของต่างชาติอีกสองท่าน-"ฉันคิดว่าคนที่นับถือในคำสอน จะเข้าใจในปรัชญาของธรรมะ"-เอลลิซาเบท เวลโลโซ พุทธศาสนิกชนชาวบราซิลเลียน/"คำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ แต่ผมไม่แน่ใจว่านี่เป็นศาสนา"-เฮนรี่ ไทเทอร์บาม พุทธศาสนิกชนชาวเบลเยียม/"Everything is arising and passing away-สามเณรชยวิโร สามเณรชาวอิตาเลียน


พุทธศาสนาสอนอะไร?-"พุทธศาสนาสอนเรื่องทุกข์และการพ้นทุกข์ โดยบอกวิธีทำค่ะว่า ต้องลงมือทำด้วยตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่การอ้อนวอนขอ--ปลายทางที่เป็นจุดมุ่งหมายที่แท้จริงคือ การหยุดเวียนว่ายตายเกิด-หรือ-หยุดความทุกข์ จะเกิดขึ้นได้เมื่อเราลงมือทำอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น และนี่แหละค่ะ"คือหน้าที่ที่แท้จริงของพุทธศาสนิกชนทุกคนในโลกใบนี้"-คุณช่อผกากล่าวปิดรายการด้วยคำพูดที่สวยงาม


ตอนนี้ดึกมากๆแล้ว ฝันดีนะ แล้วเจอกันใหม่




Sunday, July 15, 2018

Dhamma is Science - ทันตแพทย์สม สุจีรา "ธรรมะวิทยาศาสตร์ 1"


Youtube: ทันตแพทย์ สม สุจีรา "ธรรมะวิทยาศาสตร์ 1"
Post by: YBATofficial Audiovisual
Published on Sep 23,2016


5:40 p.m.
In my room


เมื่อคืนนี้-"ฉัน"และนักเรียนของฉัน-"หยก"-เราคุยกันถึงเรื่อง"กรรม"-และเธอมีคำถามว่า-"เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมและสร้างกรรมดีใช่ไหม?"--เหตุสืบเนื่องมาจาก-เธอส่งไลน์ในบทความ"ถอดบทเรียน,ควรมีสรุปความมหัศจรรย์หลายอย่างด้วย ไม่ใช่แค่ด้านวิทยาศาสตร์อย่างเดียว"มาให้ฉันอ่าน-ในกรณีถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน-เธอบอกว่า"เห็นครูติดตามค่ะ"--คงเป็นเพราะฉันชอบเล่าเรื่องธรรมะให้เธอฟังบ่อยๆ


"หยก"-เป็นคนไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ-หรือเรื่องจิตวิญญาณ-เพราะเธอเป็นวิศวกร เรียนมาทางด้านวิทยาศาสตร์ล้วนๆ-แต่-เธอเป็นคนที่กลัวผีมาก!!--เธอบอก-"Action = Reaction ตามหลักวิทยาศาสตร์,แต่ในทางพระพุทธศาสนาทุกอย่างในโลกล้วนเป็นไปตามกรรม-อันนี้หยกยังไม่เคลียร์ว่ามันมีสิ่งจัดสรรได้อย่างไร--คือหยกมีความเชื่อว่ามีโลกคู่ขนานอยู่จริงเหมือนคลื่นไมโครเวฟ-ที่ทำให้อาหารสุกโดยที่เรามองไม่เห็น-แต่กรรมในโลกอดีต มามีผลต่อโลกปัจจุบัน--อันนี้ยังไม่เข้าใจว่า-มันส่งมายังไง? ถ้าจะใช้วิทยาศาสตร์อธิบายค่ะ"


งานเข้าละสิ!-ฉันเลยปรึกษากู๋-ญาติผู้ใหญ่คนเดิมของฉันนั่นแหละ-เพื่อหาข้อมูลจาก-นายแพทย์ สม สุจีรา-ซึ่งท่านเป็นผู้ที่มีคุณวุฒิและเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องจิตมาแล้วเป็นร้อยๆเล่ม-มาอธิบาย-เหตุและผล-ที่มาที่ไป-เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เธอฟังจากปาก-และ-จากประสบการณ์ตรงของท่านเอง



คุณหมออารัมภบทเริ่มต้นว่า-"ก็ต่อจากนี้ไป 2 ชั่วโมงนะครับ-เราจะมาคุยกันในเรื่องของ"ธรรมะวิทยาศาสตร์"-ซึ่งเป็นแนวที่ผมถนัดที่สุดแล้ว-เฉพาะ"-ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้า"-ก็พิมพ์ไปประมาณ 400,000 เล่ม--ซึ่งจริงๆธรรมะก็คือวิทยาศาสตร์นั่นแหละนะครับ-เพียงแต่ว่าวิทยาศาสตร์ยังก้าวไม่ถึงในบางจุดเท่านั้นเอง--คือจริงๆกำลัง-"สติ"-ที่สูงเนี่ยจะทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงในทางโลกและทางธรรมทั้งหมดเลยนะครับ--ถามว่าพระพุทธเจ้าเนี่ย ทรงรู้เรื่องฟิสิกส์,เคมี,ชีววิทยามั้ย?--รู้นะครับ รู้เยอะกว่านักวิทยาศาสตร์ด้วย-แต่ท่านรู้สึกว่า มันไม่ใช่ทางแห่งการพ้นทุกข์ที่เราจะไปรู้เรื่องอะไรในทางโลก..."


"เรื่องแสงนี่พระองค์ทรงตรัสรู้มาตั้งนานแล้ว-ที่เราเอาใช้ลง DVD อะไรพวกนี้นะ,คอมพิวเตอร์--สมัยก่อนภาพยนตร์เรื่องนึงเนี่ย-เราจะก๊อปปี้วิดีโอม้วนนึง-ใช้เวลา 2 ชั่วโมงใช่มั้ยครับ-ถ้าใครทันรุ่นเทปคาสเซ็ต-โอ้โห!กว่าจะก๊อปปี้เทปม้วนนึงไปอีกม้วนนึง 2 ชั่วโมง-แต่เดี๋ยวนี้เราใช้แสงฉายลงไปใช่มั้ยครับ-2 วินาที,ไม่ถึงด้วย-หนังทั้งเรื่อง,ก๊อปอีกม้วนนึงเข้าไปเลยใช่มั้ยครับ..."


แต่-"จิต"-เร็วกว่าแสงเป็นล้านเท่านะครับ-เพราะฉะนั้นการดาวน์โหลดของจิตเร็วกว่ามาก-หมายความว่า-ในช่วงเวลาที่เราใกล้จะเสียชีวิตเนี่ย-พอเกิดจุติจิตปุ๊บ-มันจะดาวน์โหลดกลายเป็นปฎิสนธิจิตทันที-ข้อมูลทุกภพชาติที่ผ่านมามันดาวน์โหลดเร็วกว่าแสงเยอะ..."


บางคนอาจจะงง!ว่า-เอ๊ะ!-นิมิตสุดท้ายก่อนตาย-มันจะเอาข้อมูลทั้งหมดของจิตเรา-"ข้ามภพ"-ได้ยังไง?--เอ่อ..มัน"เหนือมิติที่ 4 น่ะนะครับ-คือแสงนี่ยังอยู่ในมิติที่ 3 นะ-แต่เรื่องของจิตนี่,เหนือมิติที่ 4-เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงครับ--เสี้ยววินาทีสุดท้าย,ความรู้สึกสุดท้ายก่อนตาย-"คือความรู้สึกที่สำคัญที่สุด"-ที่จะทำให้เราไปสู่-"ภพภูมิใหม่"-ซึ่งแน่นอนว่า-ถ้าเป็นความรู้สึกดีๆก็ได้ขึ้นสวรรค์นะครับ..."


"ความรู้สึก"-กับ-"ความคิด"ไม่เหมือนกันนะครับ-บางคนคิดว่า-"เฮ้ย!อย่างนี้เราก็ทำเลวทั้งชีวิตสิ แล้วก่อนตายก็คิดดีๆ-ใช่มั้ย--ช่วงที่เราใกล้เสียชีวิตเนี่ย-"สมองจะไม่ทำงานนะครับ"--สมองไม่ทำงาน เพราะฉะนั้นเราจะฝืนคิดไม่ได้!!--มันจะเป็นไปตามความรู้สึกในจิตที่เราสะสมมาทั้งชีวิตนั่นแหละ"-เพราะงั้นไม่ต้องห่วงครับ-ใครทำไม่ดีก่อนตายก็ไม่มีทางบิ้วท์ความรู้สึกได้หรอกครับ-"มันไม่ใช่เรื่องที่จะบิ้วท์กันง่ายๆ"-เพราะฉะนั้นเรื่องจิตนี้เป็นอะไรที่"ซับซ้อนมาก"-ซับซ้อนมาก!!!"



ฉันคิดว่าควรจะแบ่งปันความรู้ดีๆนี้ให้พวกคุณด้วย-เพราะ"เพื่อนต้องรักและหวังดีต่อเพื่อนเสมอ"-ฉันจึงนำยูทูปของนายแพทย์ สม สุจีรา"ธรรมะวิทยาศาสตร์ 1 และ 2"-มาฝากพวกคุณในเย็นวันนี้-ฉันขอให้คุณเสียสละเวลาฟังให้จบทั้ง 1 และ 2-เพราะ "ธรรมะกับวิทยาศาตร์เป็นเรื่องเดียวกัน"


ไปละนะ  แล้วเจอกันใหม่








Friday, July 13, 2018

Everything has finished, Closed the Door then!!!


Youtube: เปิดใจอดีตหน่วยซีล ร่วมภารกิจถ้ำหลวง เผยนาทีหนีออกจากถ้ำหลังน้ำท่วมมิดเพดาน
Post by: เรื่องเล่าเช้านี้ บีอีซี-เทโร
Published on Jul 12,2018


5:16 p.m.
In my room


ฉันไม่ได้เขียนไดอารี่มาเกือบหนึ่งสัปดาห์-เหตุเพราะใช้เวลาติดตามข่าวหมูป่า 13 ชีวิต-ซึ่งในที่สุด-ทั้ง 13 หมูป่าและเจ้าหน้าที่ทุกคน-ก็กลับออกมาจากถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน-ได้อย่างปลอดภัย-ในเย็นวันที่ 10 กรกฎาคม 2561--และเป็นเรื่องน่าเศร้า-ที่พวกเราต้องสูญเสีย-จ.อ.สมาน กุนัน"จ่าแซม"-ไปในภารกิจครั้งนี้ด้วย--"โศกนาฏกรรม มักเป็นที่จดจำเสมอ"


เกือบจะในทันที-ที่เจ้าหน้าที่คนสุดท้าย-ได้ดำน้ำมาถึงศูนย์บัญชาการโถง 3 ซึ่งอยู่ภายในถ้ำ-เครื่องสูบน้ำก็เกิดขัดข้องขึ้น-ทำให้น้ำเพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็วจนมิดเพดานถ้ำ-เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องรีบเก็บเครื่องมือสำคัญขึ้นที่สูง-และ-รีบออกจากถ้ำโดยเร็ว-ช่างบังเอิญจริงๆ!!--ทำไม-เครื่องสูบน้ำไม่ขัดข้องก่อนหน้านั้น-หรือ--ทำไม-เครื่องสูบน้ำไม่ขัดข้องหลังจากนั้น-และ-ทำไม--เครื่องสูบน้ำต้องเกิดขัดข้องขึ้นในทันทีที่เจ้าหน้าที่คนสุดท้ายได้ดำน้ำออกมาถึงโถง 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว-พอดี!!


มีสิ่งใดไล่ออกมาอย่างนั้น?--หรือ-เพื่อเตรียมความพร้อม-และสถานที่-ไว้สำหรับฤดูจำศีล-ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า--หลายคนคงจำกันได้-เมื่อครั้งที่พระครูบาบุญชุ่ม มาทำพิธีขอขมากรรมให้ 13 หมูป่าที่หน้าถ้ำ-ท่านกล่าวถึง-"เขา"!!-ท่านพระครูบาเจ้าบอกว่า-"เขาไม่ให้ออกมา"


ใครจะคิดเช่นไรฉันไม่รู้--แต่สำหรับฉัน--ฉันเชื่อว่าที่นี่คือบ้านของ-"เขา"--ท่านองค์หนึ่งซึ่งชำแรกแหวกแผ่นดินขึ้นมา-เพื่อตามหาลูกสาว-ซึ่งถูก-ท่านอีกองค์หนึ่งลักพาตัวมา-ยังที่แห่งนี้-"ถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน"--ที่ซึ่งมิติเวลาซ้อนทับกันอยู่ภายในโลกคู่ขนานนี้-อย่างแน่นอน


#ย้อนอ่านเรื่อง-"เขา"และ"ท่านอีกองค์หนึ่ง"-ได้ใน Pandora23's Diary-June 26,2018



ไปนะ แล้วเจอกันใหม่

Friday, July 6, 2018

ประวัติ พระครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร


Youtube:  ประวัติ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวโร
Post by:  Yee Phasouk
Published on May 1,2014


06:33 p.m.
In my room


อีกไม่กี่สัปดาห์-ก็จะถึงเทศกาลเข้าพรรษาแล้ว-พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสายพระกรรมฐาน-ต้องเตรียมหาสถานที่สัปปายะปลีกวิเวกเพื่อบำเพ็ญภาวนา-และ-ตามที่ทราบข่าวจากสื่อว่า-เมื่อเวลาประมาณ 5.00 นาฬิกา ของวันที่ 6 กรกฎาคม ที่ผ่านมา--พระครูบาเจ้าบุญชุ่ม-ได้ออกเดินทางปลีกวิเวกเพื่อบำเพ็ญภาวนา-ในป่า-ในถ้ำ-ปิดวาจาเป็นเวลา 3 เดือน-ตามจริตของพระคุณเจ้าแล้ว-โดยไม่มีใครรู้ว่าท่านจะไปที่ใด


พระครูบาเจ้าบุญชุ่ม-ท่านเป็นพระโพธิสัตว์-ตั้งความปราถนาพุทธภูมิ-เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล--ท่านเคยขอลาพุทธภูมิแล้ว 3 ครั้ง-แต่ลาไม่ได้-เพราะได้รับพุทธพยากรณ์-จากพระพุทธเจ้าแล้ว-ท่านเป็นพระนิยตโพธิสัตว์(พระโพธิสัตว์แบ่งได้เป็น 2 คือ-พระนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพุทธพยากรณ์-จากพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งองค์ใดว่า-จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน--และ--อนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์-จากพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งองค์ใดว่า-จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน)--ท่านพระครูบาเจ้าบอกว่า-ถ้าท่านลาพุทธภูมิได้-ท่านจะเข้าพระนิพพานชาตินี้เลย--เพราะท่านพูดว่า-ท่านเบื่อการเกิด-เกิดมาแล้วก็เป็นทุกข์ทั้งสิ้น-ท่านบอกบรรดาลูกศิษย์ของท่านว่า-ถ้าเข้าพระนิพพานได้ก่อน-ให้เข้าพระนิพพานไปเลย


ซึ่งคำกล่าวที่ว่า-พระครูบาเจ้าบุญชุ่ม-เป็นพระโพธิสัตว์นี้--พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ-และ-พระผู้มีอภิญญาหลายองค์-ได้บอกกล่าวให้พุทธศาสนิกชนทราบ-เช่น-หลวงปู่เทพโลกอุดร-หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ(ซึ่งท่านเป็นองค์อวตารของหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด วัดช้างไห้)


ถ้าพวกคุณเห็นคลิปในยูทูปหรือในสื่อต่างๆ-ในวันที่ 2 ที่พระครูบาเจ้าบุญชุ่ม-มาทำพิธีที่หน้าถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน-พระครูบาเจ้าถือรูปท่านพ่อหลวง รัชกาลที่ 9-ไว้แนบอกตลอดเวลา-และ-พระครูบาเจ้าได้ให้บทสวดไต๋ซือไต๋ปุย-ของพระแม่กวนอิม-กับหน่วยซีล-เพื่อภาวนาภายในถ้ำ--ซึ่งทั้ง 2 พระองค์-อยู่ในภพภูมิพระโพธิสัตว์-เช่นเดียวกับพระครูบาเจ้าบุญชุ่ม(บารมีเท่ากันจึงจะสื่อจิตถึงกันได้)


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น-ทุกสรรพชีวิตที่เกิดมาในโลก-ล้วนมีเวรกรรมติดตัวมา-ไม่เว้นแม้แต่พระครูบาเจ้า-ในวันหนึ่ง-ที่ประเทศเนปาล-เมื่อครั้งที่ท่านไปจาริกแสวงบุญที่นั่น-ท่านรู้ด้วยวาระจิตว่า-ท่านจะต้องถูกทุบตีปางตายในตอนเช้า-สิ่งที่ท่านเตรียมพร้อมต่อเหตุการณ์นั้น-คือ-ท่านไม่ฉันจังหัน(มื้อเช้า)-และ-นั่งรอ-พร้อมที่จะรับกรรมนั้นด้วยความเต็มใจ!!


ทำไมพระพุทธองค์-จึงสอนให้พุทธบริษัท-ที่ต้องการบรรลุคุณวิเศษยิ่งๆขึ้นไป-ควรปลีกวิเวกทางกาย-เว้นจากหมู่คณะ-เพื่อให้เกิดจิตวิเวก-เป็นการมองเข้ามาที่จิตตนเองเท่านั้น-ก็จะ"รู้กาย เห็นจิต"-นั่นคือ-การบรรลุธรรม..นั่นเอง


พวกคุณเคย"ปิดวาจา"ไม่พูดกับใครๆเลยไหม?-ฉันหมายถึง-ในวันที่ไม่ต้องไปทำงาน-ซึ่งแน่นอนว่า-ถ้ายังอยู่ในสถานะของคนทำงาน-ย่อมปิดวาจาไม่ได้--แต่ฉันหมายถึง-ใน 1 วันหยุดของคุณ-บางคนบอก-โอ๊ย! ทำไม่ได้หรอก-แค่ 1 ชั่วโมง ฉันก็หงุดหงิดจะแย่-ยิ่งไม่ได้สไลด์มือถือเช็คเฟซแค่ 5 นาทีนะ-ยิ่งงุ่นง่านเลยละ-มันต้องพูดสิ ก็ไม่ได้เป็นใบ้นี่นา-และ-อีกร้อยแปดพันเก้า


ฉันอยากชวนพวกคุณลองมา"ปิดวาจา"กันสัก 1 วันดูนะ--ในชั่วโมงแรกๆ-อาจจะเป็นที่ขัดเคืองน่ารำคาญ-สำหรับคนที่ยังไม่คุ้นชิน-แต่-เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง-จิตของคุณเริ่ม"นิ่ง"-และ-เริ่มเข้าสู่โหมด"สงบ"--คราวนี้-ลองส่องไฟเข้าไปสำรวจความคิด-ตามซอกหลืบ-ที่ซ่อนอยู่ภายในถ้ำของคุณดูสิ--บางที-คุณอาจจะพบเจอเนินใหม่ๆ-ที่คุณยังไม่เคยเห็น-และไม่รู้ว่า-มีเนินที่สวยงามเหล่านั้น-อยู่ภายในถ้ำของคุณ-ที่จะพาคุณไปพบกับความสงบ-ในแบบที่คุณไม่เคยพบมาก่อน-ก็เป็นได้


ป.ล.ฉันเคยปิดวาจาหนึ่งเดือน-ช่วงเข้าพรรษา ปี 2558-ตัดขาดจากโลกภายนอก-ไม่สนใจอินเตอร์เน็ต-ข่าวสารบ้านเมือง-ทำให้ฉันรู้ว่า-ภายในถ้ำของฉัน-มีเนินที่สวยงามแห่งนั้นซ่อนอยู่จริงๆ!! 


ขอให้ทุกคน-พบเจอสถานที่แห่งนั้นกันทุกคนนะ - แล้วเจอกันใหม่




Wednesday, July 4, 2018

"ถ้ำมืด" หรือ "ถ้ำปาฏิหาริย์" - อุบลราชธานี - เมืองบาดาล - เมืองลับแล


Youtube:  บุกพิสูจน์ "ถ้ำมืด" หรือถ้ำปาฏิหาริย์ ณ จ.อุบลราชธานี ที่เชื่อกันว่าลอดฝั่งไทยโผล่ฝั่งลาวได้
Post by:  พญานาค
Published on Jul 3,2017

02:28 p.m.
In my room


คืนวันที่ 2 กรกฎาคม 2561 เวลาประมาณ 21:45 นาฬิกา-นับว่าเป็นวินาทีที่คนไทยทั้งประเทศรอคอยกันมาร่วม 1 สัปดาห์เศษๆ-เมื่อท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย-ได้รับรายงานจากหน่วยซีลว่า-ได้พบ 13 ชีวิตที่ติดอยู่ภายในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอนแล้ว-และ-เวลาประมาณ 22:00 นาฬิกา-จึงได้รับรายงานการยืนยันจากหน่วยซีลอีกครั้งว่า-ได้พบ 13 ชีวิต-ในบริเวณที่เรียกว่า"เนินนมสาว"นั้น--เป็นความจริง!!


จากไทม์ไลน์ของทั้ง 13 ชีวิต-ที่ได้เข้าไปเที่ยวในถ้ำตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา-"พวกเขา"-ตั้งใจเข้าไปฉลองวันเกิดของ 1 ในสมาชิกของทีมที่นั่น-พร้อมเตรียมน้ำดื่ม,ขนมขบเคี้ยวไปด้วยจำนวนหนึ่ง--พวกเขาไปถึงที่ถ้ำแห่งนั้น-เวลาประมาณ 15.00 นาฬิกา-และ-เข้าไปภายในถ้ำหลังจากเวลาดังกล่าว


จากการเสิร์ชหาข้อมูล-เวลาเข้าเยี่ยมชมถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน-จาก-สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม-ได้เคยให้ข้อมูลในเว็บไซต์ไว้ว่า-"ถ้ำหลวง"-จะปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมพื้นที่ถ้ำ-ตั้งแต่เริ่มต้นช่วงฤดูฝน--เนื่องจากน้ำจะไหลเข้ามาท่วมภายในถ้ำ-ซึ่งจะไม่ปลอดภัย


ฉันเลยอดสงสัยไม่ได้ว่า-เริ่มต้นฤดูฝนของไทยนี่คือประมาณเดือนมิถุนายน-มิใช่หรือ--แล้วทำไมทางอุทยานแห่งชาติขุนน้ำนางนอน-ยังไม่ประกาศปิดห้ามเข้าเยี่ยมชมถ้ำอีก


และทั้ง 13 ชีวิต-เป็นคนในพื้นที่-ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดเชียงราย-และรู้ลักษณะโครงสร้างภายในถ้ำอยู่บ้างพอสมควร-เพราะเคยเข้าไปในถ้ำหลายครั้ง-ซึ่งก็ต้องรู้ว่า-ในช่วงเวลานี้ของประเทศไทย-คือฤดูฝน-และมีฝนตกชุกในเขตภาคเหนือ--จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า-ถ้าฝนตกหนัก-น้ำฝนจะทำให้น้ำภายในถ้ำสูงขึ้น--"พวกเขา"-ประมาทกับชีวิตเกินไป!!


ฉันอยากให้ทุกคน-มองสิ่งต่างๆในทุกมุม-ทุกด้าน-ทั้งทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี-และ-ทางความเชื่อของอีกมิติหนึ่งในโลกคู่ขนาน-ลองมองสิ่งต่างๆ แบบกระจก 6 ด้านกันดูบ้าง-ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่นา


พระอาจารย์สายป่าองค์หนึ่ง-ท่านให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องของ"เมืองบังบด"ไว้เป็นวิทยาทานว่า--ประตูมิติเวลาของเมืองบังบด-จะเปิดหลังจาก 17:00 นาฬิกา-และ-1 วัน ในมิติบังบด เท่ากับ 7 วัน ในมิติมนุษย์--พระอาจารย์สายป่าองค์เดิมท่านยังบอกอีกว่า-ชาวบังบดจะยอมปล่อย 13 หมูป่าออกจากถ้ำ-ภายใน 7 วัน ในมิติของเมืองบังบด!! 



ฉันมานั่งวิเคราะห์แบบบ้านๆ--13 ชีวิตหมูป่า-ติดอยู่ในกลางถ้ำ-ช่วงเวลาประมาณ 17:00 นาฬิกาไปแล้ว-ในขณะที่ด้านนอกถ้ำฝนตกหนัก-น้ำภายในถ้ำเริ่มสูงขึ้นจนปิดทางเข้า-ทำให้ต้องเดินลึกเข้าไป--เวลาผ่านไป 7 วันในมิติมนุษย์-ยังหาตัวทั้ง 13 ชีวิตไม่พบ-มาพบเจอในวันที่ 9-หลังจากการทำพิธีขอขมากรรม-และ-แผ่เมตตาให้กับสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น-ที่อยู่ในอีกมิติหนึ่งภายในถ้ำ


แม้แต่นักดำน้ำถ้ำชาวอังกฤษ มิสเตอร์ จอห์น โวลันไทน์-ยังบอกว่า-ถ้าเชือกที่เขานำไปปักตามแนวดินของถ้ำ-เพื่อใช้เป็นเชือกแนวเกาะ-ให้นักดำน้ำและหน่วยซีลอื่นๆดำตามกันมา-ไม่ให้หลงถ้ำ-และถูกกระแสน้ำเชี่ยวพัดไป-ไม่หมดลงเสียก่อน--และ-ในจังหวะที่ปลายเชือกหมดลง-ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นสู่ผิวน้ำ-ณ วินาทีนั้นเอง-เขาก็ได้พบดวงตา 13 คู่ของทั้ง 13 ชีวิต


"พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า-ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีคำว่าเหตุบังเอิญ"--แต่-ในขณะนี้ทั้ง 13 ชีวิตยังคงอยู่ภายในถ้ำเป็นวันที่ 11--ถ้าคำที่พระสายป่าองค์นั้นเป็นจริง-วันที่ 7 ในมิติของเมืองบังบด-จะเท่ากับวันที่ 11 สิงหาคม ในมิติของเมืองมนุษย์


วันนี้ในเวลาประมาณ 18.00 นาฬิกา-พระครูบาบุญชุ่ม กลับมาทำพิธีขอขมากรรม-และ-แผ่เมตตาให้กับสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น-ที่อยู่ในถ้ำหลวงนี้อีกครั้ง-พร้อมนำผ้าไตร 13 ชุดมาด้วย--ฉันก็ขอภาวนาว่า-อานิสงค์ผลบุญของผ้ากาสาวพัตร-คงจะทำให้ดวงวิญญาณที่อยู่ในโลกอีกมิติหนึ่ง-กล่าวอนุโมทนารับเอาผลบุญในครั้งนี้ด้วย เทอญ


เรื่องเมืองบังบดนี้-เคยเกิดขึ้นมาแล้ว-ตามคลิปที่ฉันนำมาฝาก-"เมืองบาดาล"-และ-"เมืองบังบด"-มักจะอยู่ร่วมกันเสมอ-ในโลกอีกมิติหนึ่ง-ซึ่งมนุษย์กายหยาบ-ที่ยังไม่ละกิเลส-ไม่สามารถพบเจอได้-นอกจาก-บุคคลผู้มีบุญสัมพันธ์-หรือกรรมผูกพัน-กับมิตินั้นเท่านั้น-ที่จะสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นได้--และใครก็ตามที่ไม่เคยพบเจอ-หรือไม่สามารถสัมผัสได้-ก็จะหัวเราะ-และ-มองว่าเป็นเรื่องตลกไร้สาระสำหรับมนุษย์-ในยุค 4.0 


นอนก่อนนะ ฝันดีกันทุกคน


Sunday, July 1, 2018

"กรณียเมตตสูตร" - เป็นที่รัก ของ เทวดา-มนุษย์-อมนุษย์-ภูติ-ผี-ปีศาจ-- Sabbe Satta


Youtube: กรณียเมตตสูตร ๙ จบ (แผ่เมตตาแก่เทวดา) ช่วยให้เทวดาคุ้มครอง ปกป้องรักษา (บทสวดและคำแปล)
Post by: Dekwat Channel
Published on Mar 15,2017


12:21 a.m.
In my room


ถึงวันนี้ 2 กรกฎาคม 2561-เข้าสู่วันที่ 9 แล้ว-ถ้านับจากเย็นวันที่ 23 มิถุนายน 2561--13 ชีวิตที่ติดอยู่ภายในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน-ก็ยังไม่กลับออกมา-เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน-ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ-รวมกำลังช่วยเหลือกันอย่างเต็มความสามารถ-เพื่อให้ภารกิจในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้โดยเร็วที่สุด


เมื่อวันศุกร์ ที่ 29 มิถุนายน 2561--สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาปรินายก(อัมพร อัมพโร)-ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ-ทรงอาราธนาพระสงฆ์ให้นำพุทธศักราชแผ่เมตตา-ด้วยการเจริญ "กรณียเมตตสูตร" ด้วยทรงห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง-พระองค์ทรงประทานพร-ให้ช่วย 13 ชีวิตที่ติดในถ้ำหลวงสำเร็จ--ความว่า.. 

"อาตมาภาพ-ขอถวายอนุโมทนา-และ-ขออนุโมทนา-อีกทั้งเชิญชวนชาวไทยจงร่วมกันเจริญ "กรณียเมตตสูตร"--และศึกษาความหมายแห่งพระสูตรนั้นให้กระจ่างใจ-เพื่อประมวลเป็นกำลังจิต-อันถึงพร้อมด้วยเมตตาธรรมไม่มีประมาณ-เพื่อยังความสวัสดีของทุกชีวิต-ในเหตุการณ์ดังกล่าวเถิด--ขออำนวยพร-ให้ผู้ประสบเหตุ-และผู้ปฏิบัติหน้าที่เข้าช่วยเหลือทุกคนจงเจริญสวัสดิภาพประสบผลสำเร็จในภารกิจที่มุ่งหมายทุกประการ..เทอญ"


ความหมายของบทสวด-"กรณียเมตตสูตร-หรือ-บทเมตตัญจะ-หรือ-กรณียเมตตปริตร"


สวดแล้วเทวดารัก-ภูติผีไม่รบกวน-ทำให้หลับเป็นสุข-ตื่นเป็นสุข-ไม่ฝันร้าย-เป็นที่รักของมนุษย์-และ-อมนุษย์ทั้งหลาย-ทั้งเทพพิทักษ์รักษา-ไม่มีภยันตราย-จิตเป็นสมาธิง่าย-ใบหน้าผ่องใส-มีสิริมงคล-ไม่หลงสติในเวลาเสียชีวิต-และ-เป็นพรหม-เมื่อบรรลุเมตตาญาณ


เรื่องมีว่า--สมัยหนึ่งจวนเข้าพรรษา-ภิกษุจำนวนหนึ่ง-กราบทูลลาพระพุทธเจ้า-เพื่อไปอยู่จำพรรษาในป่าลึกแห่งหนึ่ง--เหล่ารุกขเทวดาคิดว่า-พระคุณเจ้าคงพักชั่วคราว-ไม่กี่วันก็จะไป-จึงพากันลงมาอยู่บนพื้นดิน-เพื่อถวายความเคารพแก่พระสงฆ์


แต่เมื่อรู้ว่า-พระคุณเจ้าอยู่ที่ป่านี้ตลอดพรรษา-จึงปรึกษากันว่า-พวกเราจะต้อง"ไล่"พระท่านไป-ไม่เช่นนั้นจะลำบากมาก-ที่จะต้องมาอยู่บนพื้นดินอย่างนี้--จึงพร้อมใจกัน"หลอกหลอน"ภิกษุ-ที่ไปนั่งกรรมฐานที่ใต้ต้นไม้บ้าง-ในถ้ำบ้าง-จนท่านอยู่ไม่เป็นสุข--พระก็กลัวผี-ว่าอย่างนั้นเถอะ!--จึงตกลงกันกลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า-กราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ


พระพุทธองค์ตรัสว่า--"พวกเธอมิได้เอาอาวุธติดตัวไปด้วย จึงถูกผีหลอกหลอน"--เมื่อกราบทูลถามว่า อาวุธชนิดไหน-พระองค์ก็ตรัสว่า--"อาวุธ คือ ความเมตตา"--ว่าแล้วก็ทรงสวด"กรณียเมตตสูตร"ให้ฟัง-แล้วมีพุทธบัญชา-ให้กลับไปยังป่านั้นอีก-และ-ให้สวดทันที-ที่เดินเข้าป่า-และ-สวดทุกวัน


ภิกษุเหล่านั้นก็ทำตามพุทธโอวาท-บรรดาผีสางทั้งหลาย-ได้ยินบทสวด-ก็มีจิตใจอ่อนโยน-รักใคร่ในพระสงฆ์-ไม่หลอกหลอน-ทำให้ท่านอยู่ในป่า-ได้อย่างผาสุก--พระภิกษุได้สัปปายะเจริญธรรม-สำเร็จอรหัตผลถ้วนทั่วกัน--เพราะเหตุว่า-เนื้อหาของบทสวด-เป็นการแผ่เมตตาความรักปราถนาดี-แก่เหล่าเทวดาในป่า-และ-แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย-ซึ่งท่านก็จะมีไมตรีจิตตอบ-และถวายการอารักขาให้ผาสุกกัน


จึงกลายเป็นธรรมเนียมว่า-เมื่อผ่านศาลเจ้าเทพารักษ์-หรือต้นไม้ใหญ่-ที่มีชนนับถือ-ให้ภิกษุเจริญสามีจิกรรม(การแสดงความเคารพตามธรรมเนียมของพระเณร ระหว่างผู้ใหญ่กับผู้นอย)-เจริญเมตตากรณียสูตร-บ้างเรียก"มนต์ขับผี"--ปัจจุบันนำไปสวดรวมกับเจ็ดตำนาน-สิบสองตำนาน-เรารับฟังเนืองๆแต่ไม่เข้าใจความหมาย--บทนี้ใช้ได้ดีทีเดียวเวลาไปนอนป่า-หรือ-ที่ไม่คุ้นชิน--ทำให้นอนหลับง่าย-และ-ทำให้จิตสงบได้


ท่านผู้เจริญเมตตาจิต-ที่"ละ"ความเห็นผิดแล้ว-มีศีล-มีความเห็นชอบ-ขจัดความใคร่ใน"กาม"ได้--ก็จะไม่กลับมาเกิดอีกเป็นแน่แท้--สาธุ-สาธุ-สาธุ!!! 

(CR: https://palungjit.org 'ในห้องบทสวดมนต์-คาถา' ตั้งกระทู้โดย-sphimtha,27 เมษายน,2013) 


ไปนะ แล้วเจอกันใหม่






Happiness is here and now - Plum Village Song

Youtube: Happiness is here and now - Plum Village Song Post by: phuongboipress phapcau Published on Nov 8,2011 14:29 p.m. In...