Youtube: หนังเรื่องนี้ทำให้ผมพูดภาษาอังกฤษได้ภายใน 2 เดือน ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง เรียนเองก็เก่งได้
Post by: UNFOX
Published on Jul 23,2018
9:55 p.m.
In my room
วันนี้-ฉันขอพักเรื่องราวทางพุทธศาสนาไว้ก่อนสักหนึ่งวัน-เพราะเปิดไปเจอยูทูปของน้องคนนี้เข้า-น้องเขาชื่อ"แลคต้า"-นอกจากคำพูดซื่อๆ-ที่เล่าให้ฟังถึงความพยายาม-และความตั้งใจในการฝึกพูดภาษาอังกฤษของเขาแล้ว-ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกได้ในตัวของน้องคนนี้-คือ-ความขยันและความเชื่อมั่นในตนเองว่าเขาต้องทำได้-ทำให้ฉันประทับใจ-นี่ถ้าเป็นนักกีฬา-ก็ชนะตั้งแต่ยังไม่ลงสนามเลยทีเดียว
น้องแลคต้าทักทายผู้ชม-"What's up everyone. Welcome to UNFOX channel. If you are new to this channel, and see this video for the first time, again my name is Lacta. And this channel, we are going to share about tips and technics how to learn English by yourself. So, don't forget to Subscribe and hit the bell button to get notifications when I upload the new video in the future. Okay, let's start"
"วันนี้ผมจะมาแชร์ในเรื่องของตัวเองที่ผมสามารถพูดภาษาอังกฤษได้-จากการเรียนรู้จากหนังเรื่องนึงที่ผมชอบมากๆซึ่งก็คือเรื่อง"Twilight ภาค 1"-เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อย้อนไปประมาณ 3 ปีที่แล้ว-ตอนที่ผมเรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ-และอยู่ในช่วงที่กำลังหางานทำ-ในความรู้สึกตอนนั้นก็แบบอยากได้งานที่ต้องทำกับชาวต่างชาติ-เพราะจะได้ใช้ภาษาอังกฤษไปด้วย..."
"แต่บังเอิญว่าไปได้งานอยู่ในบริษัทญี่ปุ่น-ซึ่งเป็นบริษัทที่มีแต่ชาวญี่ปุ่นล้วนๆและพูดภาษาไทยได้-ก็กลายเป็นว่าสื่อสารกันเป็นภาษาไทย-สภาพแวดล้อมในบริษัททั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่น-จนคิดว่าในตอนนั้นน่ะจะเรียนภาษาญี่ปุ่นแล้ว..."
"พอทำงานไปได้ซักพักเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่แบบที่เราอยากได้-คือเราอยากทำงานในบริษัทที่เค้าใช้ภาษาอังกฤษ-เอาง่ายๆคือ-ได้ทำงานในบริษัทที่มีฝรั่ง-แล้วเราได้คุยกับฝรั่ง-เพราะว่าถ้าจะเรียนภาษาอังกฤษเราก็ต้องเรียนจากเจ้าของภาษา native speaker ใช่มั้ยครับ-นั่นแหละก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ว่า-ต้องมาจริงจังกับการเรียนภาษาอังกฤษแล้ว!!..."
"ในตอนนั้นผมก็พอที่จะเข้าใจภาษาอังกฤษ-สามารถพูดได้งูๆปลาๆนิดหน่อย(หัวเราะขำตัวเอง)-คือมันได้เป็นคำๆ-พูดได้ทีละประโยค-ที่ได้ทีละประโยคนี่คือ-ต้องคิดในหัวก่อน-คิดเป็นภาษาไทย-เรียงประโยค-ต้องออกเสียงยังไง-แล้วค่อยพูดออกมา-มันก็เลยได้ทีละประโยค-พูดต่อเนื่องกันยาวๆไม่ได้-แล้วเวลาการฟังนี่มันก็ไม่ได้ฟังรู้เรื่องทั้งหมด-มันก็ต้องฟังทีละประโยค,สองประโยคง่ายๆ..."
"ก็เลยกลับมานั่งคิดกับตัวเองว่า-ทำยังไงที่จะให้ตัวเราเก่งภาษาอังกฤษ-วิธีการ-ก็คือ"ต้องเรียนด้วยตัวเอง"-พอดีเคยอ่านในกระทู้-ค้นเจอในกูเกิ้ลว่ามันมีวิธีการเรียนภาษาอังกฤษจากการดูหนัง-ถ้าเราทำแบบจริงจัง!!..."
"ก็เลยคิดว่า-หลังเลิกงานเรามีเวลา-และตอนที่นั่งรถเมล์ไปทำงานด้วย-เราก็ใช้เวลานั้นน่ะเรียนจากหนังได้--ผมก็เลยเลือกหนัง"Twilight"เรื่องนี้แหละ-ซึ่งเป็นหนังที่ผมชอบ-ที่เราจะดูได้เรื่อยๆไม่เบื่อ-เพราะว่าการที่เราจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากการดูหนังเนี่ย-มันต้องดูซ้ำไปซ้ำมา--ผมใช้เวลาอยู่ 2 เดือน-ดูหนังเรื่องนี้ทุกวัน-เช้าตอนไปทำงาน-เย็นตอนกลับมาที่ห้อง-และก่อนนอน..."
"ถ้าทุกคนจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยการดูหนัง-จะต้องเลือกหนังที่ตัวเองชอบ-และก็ดูได้บ่อยจริงๆไม่เบื่อ-ที่เรารู้สึกว่าเราชอบตัวละคร-ที่รู้สึกว่าเราชอบเนื้อเรื่อง-และเราจำเนื้อเรื่องได้-จะได้มีแรงบันดาลใจที่เราจะดูหนังโดยที่เป็นภาษาอังกฤษและไม่มีซับไตเติ้ลบรรยายภาษาไทย..."
"ใน 1 เดือนแรก-ผมไม่ได้ดูหมดทั้งเรื่อง-ผมดูแค่ 20 นาทีแรก-พอหมด 20 นาทีแรกปุ๊บ-ผมก็ย้อนกลับไปดู 20 นาทีแรกอีก-ผมทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา-วนไปวนมาอยู่ 1 เดือน--ตอนนั่งรถเมล์ไปทำงานก็ดูได้ประมาณรอบครึ่ง-ตอนก่อนนอนก็ได้ประมาณ 2 รอบ-ก็ตีไปซะว่าประมาณ 3 รอบละกัน--เมื่อเวลาผ่านไป 1 เดือน-มันทำให้ผมฟังทั้งหมดของหนัง 20 นาทีแรกออก-จากที่ผมดูทุกวันๆละ 3 รอบนั่นแหละ..."
"พอมาเดือนที่ 2-ผมก็ดูตั้งแต่ต้นจนจบเลย-แล้วผมก็ทำแบบเดิมนี้อีกเป็นเวลา 2 เดือน-และฝึกพูดและออกเสียงตามให้เหมือนในหนัง-ถ้าตอนไหนเร็วๆ-ผมก็กรอ-กลับไปกลับมา-จนผมรู้สึกว่าผมออกเสียงตามเค้าได้--เวลา 2 เดือน-ผมดูไม่รู้กี่ร้อยรอบ-จำได้ทุกๆคำพูด-จนผมพูดตามตัวละครได้ทุกคำเลยเวลาที่นั่งดูหนัง-แล้วก็รู้สึกว่า-"เฮ้ย!เราก็พูดได้นี่หว่า"-แล้วผมเข้าใจคำที่เค้าพูดด้วย-ถึงแปลไม่ออกในตอนแรกนะ-แต่พอฟังเป็นร้อยๆรอบมันก็ต้องเข้าใจ-มันมีหลายประโยคหลายคำมากที่ผมเข้าใจเอง-โดยที่ไม่ได้เปิดดิกชันนารี-เพราะบริบทในหนัง-และเนื้อเรื่องที่มันพาไป-มันก็เลยเข้าใจไปเอง..."
"หลังจากนั้น 2 เดือนผมก็เริ่มมั่นใจที่จะหางานใหม่-โดยที่ยังไม่ได้งานใหม่นะ-คือลาออกมาก่อน-แล้วก็ยื่นใบสมัครไปบริษัทที่มีชาวต่างชาติทำงานอยู่ด้วย-ซึ่งก็ต้องเป็น native speaker อังกฤษ,อเมริกา-ทางบริษัทตอบอีเมล์กลับมาให้ผมไปสัมภาษณ์-และคนสัมภาษณ์เป็นฝรั่ง-จำได้ว่าผลจากการที่ผมดูหนังทุกวัน-พูดตามหนังทุกวัน-ทำให้ผมหยิบเอาประโยคจากในหนังนั้นแหละมา adapt นิดหน่อย-แล้วก็พูดเป็นภาษาของตัวเองตอนสัมภาษณ์งาน-ซึ่งก็ไม่ได้เก่งมากนะ-ก็ยังติดขัดเยอะอยู่มาก-บางทีแกรมม่าก็ยังผิดอยู่-ผมว่าผมไม่ใช่คนที่มีความสามารถเก่งกว่าคนอื่นนะ-แต่ว่าในการสื่อสารภาษาอังกฤษผมมั่นใจที่จะพูด"
"วิธีเรียนรู้จากการดูหนังมันก็ทำให้ตัวผมเองเก่งขึ้นมาได้-จากคนพูดได้แค่บางประโยค-แล้วยังคิดเป็นภาษาไทยอยู่เลย-ใช้เวลาแค่ 2 เดือน-อยู่กับหนังที่เป็นภาษาอังกฤษ-วันละแค่ไม่ถึง 2 ชั่วโมง-มันก็ทำให้เปลี่ยนจากคนนึง-ไปเป็นอีกคนนึง-มันไม่ได้แค่ว่าผมเก่งขึ้นเฉยๆ-แต่มันยังมาพร้อมกับ"โอกาส"ในชีวิตผม-ที่ผมจะได้ทำงานอย่างที่ผมอยากทำ..."
"พอผมเข้าไปทำงานจริงๆ-ตรงนั้นแหละมันคือภาษาอังกฤษจริงๆที่ผมจะต้องเจอ!!--มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่า-เออผมเพิ่งได้แค่เสี้ยวเดียวนิดหน่อยเอง-เข้าไปประชุมงานวันแรก-"ไม่รู้เรื่องเลย!!"-คนอื่นเค้า-โอ้โห-ทำไมเค้ากล้าพูดจังเลย-ทำไมเค้าเก่งจังเลย--จริงๆแล้ว-เค้ากับเราก็ไม่ได้เก่งกว่ากันมากเท่าไหร่-เค้าแค่มีประสบการณ์-เค้าแค่เคยพูดกับฝรั่งแบบนี้บ่อยอยู่แล้ว-เค้าก็เลยมีความมั่นใจ--เพราะฉะนั้น--"ภาษาอังกฤษไม่ได้อยู่ที่ว่าใครเก่งกว่าใคร-แต่อยู่ที่ว่า-ใครกล้าที่จะพูดมากกว่า!!"-แล้วการที่เราจะกล้าพูดได้เก่งพูดได้คล่องนี่อยู่ที่ว่า-เราจะฝึกความมั่นใจให้ตัวเองพูดออกไปได้มากน้อยแค่ไหน-ยิ่งเราพูดบ่อย-มันก็ยิ่งคล่องมากขึ้น-อะไรที่เราฝึกทำบ่อยๆ-มันก็คล่อง-มันก็ชิน-มันก็เป็นอัตโนมัติ-นั่นแหละที่เค้าเรียกว่า"ประสบการณ์"..."
"คนที่กำลังเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตัวเองอยู่นะครับ-ผมจะบอกว่า-มันสามารถเป็นจริงได้--แต่มันมีข้อแม้ว่า--เราต้องตั้งใจและก็มุ่งมั่น-ทำมันจริงๆ!!"
"ทุกวันนี้ผมไม่ได้ทำงานแล้ว-ผมลาออกจากที่ทำงานงานมาแล้ว-ผมก็ยังต้องฝึกฝนพัฒนาอยู่เรื่อยๆเพราะว่าก็ยังไม่ได้เก่งมาก-เพราะผมไม่ใช่คนที่จะไปคุยกับฝรั่งตลอดเวลา-ตอนนี้ไม่ได้ทำงาน-โอกาสที่จะได้ฝึกพูดฝึกสนทนากับฝรั่งมันก็ไม่ค่อยมีแล้ว-เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมทำได้คือ-ดูหนัง,ดูซีรีย์,ดูยูทูป,ดูจากสื่อต่างๆที่เรามีอยู่ในมือ-ทุกวันนี้มีอินเตอร์เน็ต-แล้วโอกาสมีอยู่รอบตัว-"ทำไมเราไม่เริ่มต้นซะที?"-เรามัวแต่ไปโทษว่ามันยาก-เราไม่มีเวลา-ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง-จริงๆมันไม่ได้ผิดที่อย่างอื่นเลย-"มันผิดที่ตัวเราเอง!"-ลองถามตัวเองดีๆว่า-วันนี้เราจริงจังกับมันหรือยัง-วันนี้เราอาจจะรู้สึกจริงจัง-แต่พรุ่งนี้ยังจริงจังอยู่มั้ย-ถ้าเราสามารถจริงจังต่อไปได้-10 วัน,20 วัน,30 วัน,เป็นเดือน,เป็นสองเดือนเหมือนผม-ผมว่าผมทำได้-ทุกคนก็ทำได้-เพราะฉะนั้นถ้าอยากเก่งก็ตั้งใจที่จะฝึกตัวเองต่อไปนะครับ"
"ก็เลยคิดว่า-หลังเลิกงานเรามีเวลา-และตอนที่นั่งรถเมล์ไปทำงานด้วย-เราก็ใช้เวลานั้นน่ะเรียนจากหนังได้--ผมก็เลยเลือกหนัง"Twilight"เรื่องนี้แหละ-ซึ่งเป็นหนังที่ผมชอบ-ที่เราจะดูได้เรื่อยๆไม่เบื่อ-เพราะว่าการที่เราจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากการดูหนังเนี่ย-มันต้องดูซ้ำไปซ้ำมา--ผมใช้เวลาอยู่ 2 เดือน-ดูหนังเรื่องนี้ทุกวัน-เช้าตอนไปทำงาน-เย็นตอนกลับมาที่ห้อง-และก่อนนอน..."
"ถ้าทุกคนจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยการดูหนัง-จะต้องเลือกหนังที่ตัวเองชอบ-และก็ดูได้บ่อยจริงๆไม่เบื่อ-ที่เรารู้สึกว่าเราชอบตัวละคร-ที่รู้สึกว่าเราชอบเนื้อเรื่อง-และเราจำเนื้อเรื่องได้-จะได้มีแรงบันดาลใจที่เราจะดูหนังโดยที่เป็นภาษาอังกฤษและไม่มีซับไตเติ้ลบรรยายภาษาไทย..."
"ใน 1 เดือนแรก-ผมไม่ได้ดูหมดทั้งเรื่อง-ผมดูแค่ 20 นาทีแรก-พอหมด 20 นาทีแรกปุ๊บ-ผมก็ย้อนกลับไปดู 20 นาทีแรกอีก-ผมทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา-วนไปวนมาอยู่ 1 เดือน--ตอนนั่งรถเมล์ไปทำงานก็ดูได้ประมาณรอบครึ่ง-ตอนก่อนนอนก็ได้ประมาณ 2 รอบ-ก็ตีไปซะว่าประมาณ 3 รอบละกัน--เมื่อเวลาผ่านไป 1 เดือน-มันทำให้ผมฟังทั้งหมดของหนัง 20 นาทีแรกออก-จากที่ผมดูทุกวันๆละ 3 รอบนั่นแหละ..."
"พอมาเดือนที่ 2-ผมก็ดูตั้งแต่ต้นจนจบเลย-แล้วผมก็ทำแบบเดิมนี้อีกเป็นเวลา 2 เดือน-และฝึกพูดและออกเสียงตามให้เหมือนในหนัง-ถ้าตอนไหนเร็วๆ-ผมก็กรอ-กลับไปกลับมา-จนผมรู้สึกว่าผมออกเสียงตามเค้าได้--เวลา 2 เดือน-ผมดูไม่รู้กี่ร้อยรอบ-จำได้ทุกๆคำพูด-จนผมพูดตามตัวละครได้ทุกคำเลยเวลาที่นั่งดูหนัง-แล้วก็รู้สึกว่า-"เฮ้ย!เราก็พูดได้นี่หว่า"-แล้วผมเข้าใจคำที่เค้าพูดด้วย-ถึงแปลไม่ออกในตอนแรกนะ-แต่พอฟังเป็นร้อยๆรอบมันก็ต้องเข้าใจ-มันมีหลายประโยคหลายคำมากที่ผมเข้าใจเอง-โดยที่ไม่ได้เปิดดิกชันนารี-เพราะบริบทในหนัง-และเนื้อเรื่องที่มันพาไป-มันก็เลยเข้าใจไปเอง..."
"หลังจากนั้น 2 เดือนผมก็เริ่มมั่นใจที่จะหางานใหม่-โดยที่ยังไม่ได้งานใหม่นะ-คือลาออกมาก่อน-แล้วก็ยื่นใบสมัครไปบริษัทที่มีชาวต่างชาติทำงานอยู่ด้วย-ซึ่งก็ต้องเป็น native speaker อังกฤษ,อเมริกา-ทางบริษัทตอบอีเมล์กลับมาให้ผมไปสัมภาษณ์-และคนสัมภาษณ์เป็นฝรั่ง-จำได้ว่าผลจากการที่ผมดูหนังทุกวัน-พูดตามหนังทุกวัน-ทำให้ผมหยิบเอาประโยคจากในหนังนั้นแหละมา adapt นิดหน่อย-แล้วก็พูดเป็นภาษาของตัวเองตอนสัมภาษณ์งาน-ซึ่งก็ไม่ได้เก่งมากนะ-ก็ยังติดขัดเยอะอยู่มาก-บางทีแกรมม่าก็ยังผิดอยู่-ผมว่าผมไม่ใช่คนที่มีความสามารถเก่งกว่าคนอื่นนะ-แต่ว่าในการสื่อสารภาษาอังกฤษผมมั่นใจที่จะพูด"
"วิธีเรียนรู้จากการดูหนังมันก็ทำให้ตัวผมเองเก่งขึ้นมาได้-จากคนพูดได้แค่บางประโยค-แล้วยังคิดเป็นภาษาไทยอยู่เลย-ใช้เวลาแค่ 2 เดือน-อยู่กับหนังที่เป็นภาษาอังกฤษ-วันละแค่ไม่ถึง 2 ชั่วโมง-มันก็ทำให้เปลี่ยนจากคนนึง-ไปเป็นอีกคนนึง-มันไม่ได้แค่ว่าผมเก่งขึ้นเฉยๆ-แต่มันยังมาพร้อมกับ"โอกาส"ในชีวิตผม-ที่ผมจะได้ทำงานอย่างที่ผมอยากทำ..."
"พอผมเข้าไปทำงานจริงๆ-ตรงนั้นแหละมันคือภาษาอังกฤษจริงๆที่ผมจะต้องเจอ!!--มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่า-เออผมเพิ่งได้แค่เสี้ยวเดียวนิดหน่อยเอง-เข้าไปประชุมงานวันแรก-"ไม่รู้เรื่องเลย!!"-คนอื่นเค้า-โอ้โห-ทำไมเค้ากล้าพูดจังเลย-ทำไมเค้าเก่งจังเลย--จริงๆแล้ว-เค้ากับเราก็ไม่ได้เก่งกว่ากันมากเท่าไหร่-เค้าแค่มีประสบการณ์-เค้าแค่เคยพูดกับฝรั่งแบบนี้บ่อยอยู่แล้ว-เค้าก็เลยมีความมั่นใจ--เพราะฉะนั้น--"ภาษาอังกฤษไม่ได้อยู่ที่ว่าใครเก่งกว่าใคร-แต่อยู่ที่ว่า-ใครกล้าที่จะพูดมากกว่า!!"-แล้วการที่เราจะกล้าพูดได้เก่งพูดได้คล่องนี่อยู่ที่ว่า-เราจะฝึกความมั่นใจให้ตัวเองพูดออกไปได้มากน้อยแค่ไหน-ยิ่งเราพูดบ่อย-มันก็ยิ่งคล่องมากขึ้น-อะไรที่เราฝึกทำบ่อยๆ-มันก็คล่อง-มันก็ชิน-มันก็เป็นอัตโนมัติ-นั่นแหละที่เค้าเรียกว่า"ประสบการณ์"..."
"คนที่กำลังเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตัวเองอยู่นะครับ-ผมจะบอกว่า-มันสามารถเป็นจริงได้--แต่มันมีข้อแม้ว่า--เราต้องตั้งใจและก็มุ่งมั่น-ทำมันจริงๆ!!"
"ทุกวันนี้ผมไม่ได้ทำงานแล้ว-ผมลาออกจากที่ทำงานงานมาแล้ว-ผมก็ยังต้องฝึกฝนพัฒนาอยู่เรื่อยๆเพราะว่าก็ยังไม่ได้เก่งมาก-เพราะผมไม่ใช่คนที่จะไปคุยกับฝรั่งตลอดเวลา-ตอนนี้ไม่ได้ทำงาน-โอกาสที่จะได้ฝึกพูดฝึกสนทนากับฝรั่งมันก็ไม่ค่อยมีแล้ว-เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมทำได้คือ-ดูหนัง,ดูซีรีย์,ดูยูทูป,ดูจากสื่อต่างๆที่เรามีอยู่ในมือ-ทุกวันนี้มีอินเตอร์เน็ต-แล้วโอกาสมีอยู่รอบตัว-"ทำไมเราไม่เริ่มต้นซะที?"-เรามัวแต่ไปโทษว่ามันยาก-เราไม่มีเวลา-ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง-จริงๆมันไม่ได้ผิดที่อย่างอื่นเลย-"มันผิดที่ตัวเราเอง!"-ลองถามตัวเองดีๆว่า-วันนี้เราจริงจังกับมันหรือยัง-วันนี้เราอาจจะรู้สึกจริงจัง-แต่พรุ่งนี้ยังจริงจังอยู่มั้ย-ถ้าเราสามารถจริงจังต่อไปได้-10 วัน,20 วัน,30 วัน,เป็นเดือน,เป็นสองเดือนเหมือนผม-ผมว่าผมทำได้-ทุกคนก็ทำได้-เพราะฉะนั้นถ้าอยากเก่งก็ตั้งใจที่จะฝึกตัวเองต่อไปนะครับ"
ในฐานะ English Tutor ฉันมักบอกนักเรียนในคลาสเสมอๆ-และดูเหมือนจะเป็นสโลแกนประจำตัวของฉันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า-ในภาษาอังกฤษแค่-"จำได้ ใช้บ่อย"-ก็รอดแล้ว!
คืนนี้อย่านอนดึกนะ แล้วเจอกันใหม่
No comments:
Post a Comment