Youtube: หลวงพ่อชาและหลวงพ่อสุเมโธ เผยแผ่พุทธศาสนาที่อังกฤษ ปี 2520
Post by: vanillalulla
Published on Oct 21,2014
17:27 p.m.
In my room
ยูทูปที่ฉันนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้-เป็นเรื่องราวของการเผยแผ่พุทธศาสนา-ของหลวงพ่อชา สุภัทโท-ที่ประเทศอังกฤษ-ต่อจากไดอารี่ของเมื่อวาน-แม้ผู้ที่โพสต์ลงยูทูปจะไม่ใช่แหล่งที่มาอันเดิม-แต่เนื้อหาและเรื่องราวก็ต่อเนื่องกันได้-เพราะมีคนต้นเรื่องคนเดียวกัน
อุปมาก็คงจะเหมือนดังคำสอนในพุทธศาสนา-ที่ล้วนมาจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า-เพียงแต่ผู้ที่ถ่ายทอดคำสอน-คือพระเกจิอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหลายท่าน-หรือ-มีหลายนิกาย-หลายสำนัก-แยกกันไปตามจริตของผู้สอนและผู้เรียน-เส้นทางพ้นทุกข์มุ่งสู่"นิพพาน"-อาจจะมาจากหลายเส้นทาง-แต่ท้ายที่สุดแล้ว-เส้นทางที่ตรงสู่พระนิพพาน"มีทางเดียว"เท่านั้นคือ-"พระธรรม"
จากยูทูปเรื่องนี้-ทำให้พวกเราได้เห็นถึงความยากลำบากของหลวงพ่อชา สุภัทโท-และหลวงพ่อลูกศิษย์-ในการที่จะนำพุทธศาสนาเข้าไปเผยแผ่ยังดินแดนศริสต์ศาสนา-โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ-ซึ่งขึ้นชื่อในด้าน conservative อนุรักษนิยม
ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2522 ที่หมู่บ้าน Sussex ตะวันตก-คนในหมู่บ้านตื่นขึ้นมาวันหนึ่ง และพบกับภาพที่ไม่คุ้นตา-เพื่อนบ้านที่มาใหม่ของเขาเป็นกลุ่มพระภิกษุ-ที่กำลังออกเดินบิณฑบาต-ศาสนาของพระภิกษุกลุ่มนี้มีอยู่ทางตะวันออกมากกว่า 2,500 ปีมาแล้ว-และพระภิกษุได้เข้ามาสู่ประเทศอังกฤษเวลานี้-เพราะคนอังกฤษเริ่มมีความสนใจในพระพุทธศาสนามากขึ้น
ภิกษุกลุ่มนี้ตั้งใจที่จะดำเนินชีวิตเรียบง่าย-และปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด-ตามแบบแผนที่"พระพุทธเจ้าวางให้พระวัดป่า"ตั้งแต่ยุคแรกๆ--แม้ว่าจะมีพระหลายคณะมาอยู่ในอังกฤษก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม-แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีพระภิกษุ-ที่จะพยายามรักษาวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเอาไว้
คณะสงฆ์นี้เพิ่งย้ายเข้าไปในบ้านวิคตอเรียที่ทรุดโทรมในป่า-ที่มีพื้นที่ป่านับ 100 เอเคอร์(1 เอเคอร์ = 2.53 ไร่)-ซึ่งงานชิ้นแรกที่ต้องทำคือ-การจัดการกับข้าวของต่างๆที่ไม่ได้ใช้-เพื่อให้พอที่จะย้ายเข้าไปอยู่ได้-จุดมุ่งหมายของพระภิกษุ-คือการปล่อยวางจากทุกสิ่งทุกอย่าง-ที่อาจจะมากระทบ"งานหลักของพระ"-นั่นคือ"การเจริญมรรคภาวนา"-ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า-"เพื่อมุ่งเข้าสู่นิพพาน"
ผู้นำของคณะสงฆ์กลุ่มนี้คือ-"พระอาจารย์ชา"-ซึ่งเดินทางมาจากประเทศไทย-และใช้เวลาอยู่ 3-4 สัปดาห์-เพื่อเป็นกำลังใจให้กับพระภิกษุในการสร้างวัดใหม่แห่งนี้-หลวงพ่อชาท่านกล่าวว่า-"ในเวลานี้,ชาวตะวันตกกำลังมีความทุกข์ร้อนใจใหญ่-ไม่มีอะไรที่พอจะเป็นที่พึ่งของเขาได้-ฉะนั้น ในทางพุทธศาสนา-จะมีทางการทำสมาธิกรรมฐาน-เพื่อตัดความกังวลวุ่นวายใจ-เราได้รับเชิญมานี่เพราะว่า-ชาวตะวันตกทุกวันนี้-พร้อมที่จะตั้งอกตั้งใจ-สนใจทำความสงบ-"เพราะความวุ่นวายเป็นเหตุ!!"
ปัญหาที่ยากที่สุดสำหรับพระที่นี่-คือการอธิบายว่า-"ทำไมพระต้องออกบิณฑบาต?"-พวกเขาคิดว่าพระนั้นเป็นแค่ขอทาน-หรือว่านี่คือสิ่งจำเป็นสำหรับการปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา--เพื่ออธิบายในเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ--เมื่อแรกไปถึง-คณะสงฆ์จึงได้จัดประชุมขึ้นที่ศาลากลางหมู่บ้าน-มีการฉายสารคดีเกี่ยวกับข้อวัตรปฏิบัติ-วัดป่าต้นสังกัดในเมืองไทย
ผู้ชายมีหนวดสีทองคนหนึ่งพูดในที่ประชุมว่า-"ท่านมานี่ในชุดประหลาดๆของท่าน ผมก็คงได้แต่บอกว่า-โชคดีแล้วกัน-ถ้าท่านทำได้จริงๆแล้วหาอะไรได้ฟรีๆจากการเดินเฉยๆก็ลองดู"-(มีเสียงหัวเราะครืนใหญ่ในที่ประชุม)-"ผมหมายความอย่างนั้นจริงๆ"-เขาพูดซ้ำ-"โชคดีแล้วกัน"-(กล้องแพนจับใบหน้าของผู้หญิงสองคนในที่ประชุม,มีรอยยิ้มหยันเล็กๆที่มุมปาก)
วิธีที่ดีที่สุดที่พระจะจัดการกับความเข้าใจผิดต่างๆ-ว่าพระเป็นพวกเพี้ยนหรือหรืออาจจะเป็นกลุ่มที่อันตราย-คือ การเชิญชาวบ้านมาที่วัด-เพื่อมาดูด้วยตัวเอง-และท่านได้อธิบายเพื่อทำความเข้าใจว่า-ตามพระวินัยนั้น-พระห้ามขออาหารจากญาติโยม-และไม่ได้หวังเอาอาหารจากเพื่อนบ้านด้วย-แต่พระออกบิณฑบาตตามประเพณีปฏิบัติ-และเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับชาวบ้าน-การให้ทานเป็นการสละส่วนหนึ่งของตัวตนออกไป-ซึ่งสอดคล้องกับคำสอนเบื้องต้นของพระพุทธเจ้า
มีผู้ดูแลสวนคนหนึ่งคือ คุณวอลเตอร์ สเต็งเกิล-ซึ่งเคยเป็นทหารเยอรมันในช่วงสงคราม-เขาเคยถูกคุมขังในไซบีเรียโดยฝ่ายรัสเซีย-เคยบวชเป็นพระอยู่หลายปี-ตอนนี้เขาตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตในวัดแห่งนี้-พูดว่า--"พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าเชื่อในตัวตถาคต,หรือเชื่อในสิ่งที่ตถาคตพูด,เธอต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง-อย่าเชื่อหรือคิดไปว่าสิ่งนี้เป็นเช่นนี้หรือเช่นนั้น-ต้องคิดด้วยตัวเอง-เป็นผู้บุกเบิก-ผู้ค้นพบด้วยตัวเอง-และดูว่าเกิดอะไรขึ้น-ความหมายของชีวิตคืออะไร?-เราเกิดมาเพื่ออะไร?--เราเกิดมาเพื่อสะสมเงินทอง,ที่ดิน,บ้าน,รถ,และทรัพย์สินเท่านั้นหรือ--ผมว่าไม่นะ--"ชีวิตน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น"-เราเริ่มเบื่อหน่ายแล้วกับการที่บอกเราว่า-"Believe in me and follow me"--ตอนนี้ศาสนาพุทธกำลังมาปลุกผู้คน-เพื่อได้มารู้ด้วยตัวเองว่า-คืออะไร--สิ่งนี้เราจะไม่สามารถเข้าใจแจ่มแจ้งได้-ถ้าเราเพียงแค่พูดเฉยๆ-เหมือนเราจะไม่มีวันรู้ว่า-แอปเปิ้ลหวานหรือเปรี้ยว-"นอกจากเราจะชิมด้วยตนเอง"
หลวงพ่อชา ท่านได้อุปมาทิ้งท้ายว่า-"ธรรมะที่แท้จริงเหมือนรสของแอปเปิ้ล"-รสของแอปเปิ้ลนี้เราฟังด้วยหูก็ไม่รู้จัก-ดูด้วยตาก็ไม่รู้จักว่ารสมันเปรี้ยวหรือมันหวานอย่างใด-นอกจากคนจะเอาแอปเปิ้ลเข้าไว้ในปากแล้วก็เคี้ยว-มันก็มีเปรี้ยว มีหวาน ขึ้นมาเท่านี้-นั่นแหละเป็น"ปัจจัตตัง"-ไม่ต้องสงสัยแล้วว่ารสของแอปเปิ้ลเป็นอย่างไร?-รสของแอปเปิ้ลมันมีไหม?-ไม่ต้องไปถามคนโน้น-คนนี้อีกต่อไปแล้ว-ปัญหาก็"จบ"!!ที่ตรงนั้นเอง"-หลวงพ่อชา หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
บุญรักษานะ แล้วเจอกันใหม่
ผู้ชายมีหนวดสีทองคนหนึ่งพูดในที่ประชุมว่า-"ท่านมานี่ในชุดประหลาดๆของท่าน ผมก็คงได้แต่บอกว่า-โชคดีแล้วกัน-ถ้าท่านทำได้จริงๆแล้วหาอะไรได้ฟรีๆจากการเดินเฉยๆก็ลองดู"-(มีเสียงหัวเราะครืนใหญ่ในที่ประชุม)-"ผมหมายความอย่างนั้นจริงๆ"-เขาพูดซ้ำ-"โชคดีแล้วกัน"-(กล้องแพนจับใบหน้าของผู้หญิงสองคนในที่ประชุม,มีรอยยิ้มหยันเล็กๆที่มุมปาก)
วิธีที่ดีที่สุดที่พระจะจัดการกับความเข้าใจผิดต่างๆ-ว่าพระเป็นพวกเพี้ยนหรือหรืออาจจะเป็นกลุ่มที่อันตราย-คือ การเชิญชาวบ้านมาที่วัด-เพื่อมาดูด้วยตัวเอง-และท่านได้อธิบายเพื่อทำความเข้าใจว่า-ตามพระวินัยนั้น-พระห้ามขออาหารจากญาติโยม-และไม่ได้หวังเอาอาหารจากเพื่อนบ้านด้วย-แต่พระออกบิณฑบาตตามประเพณีปฏิบัติ-และเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับชาวบ้าน-การให้ทานเป็นการสละส่วนหนึ่งของตัวตนออกไป-ซึ่งสอดคล้องกับคำสอนเบื้องต้นของพระพุทธเจ้า
มีผู้ดูแลสวนคนหนึ่งคือ คุณวอลเตอร์ สเต็งเกิล-ซึ่งเคยเป็นทหารเยอรมันในช่วงสงคราม-เขาเคยถูกคุมขังในไซบีเรียโดยฝ่ายรัสเซีย-เคยบวชเป็นพระอยู่หลายปี-ตอนนี้เขาตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตในวัดแห่งนี้-พูดว่า--"พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าเชื่อในตัวตถาคต,หรือเชื่อในสิ่งที่ตถาคตพูด,เธอต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง-อย่าเชื่อหรือคิดไปว่าสิ่งนี้เป็นเช่นนี้หรือเช่นนั้น-ต้องคิดด้วยตัวเอง-เป็นผู้บุกเบิก-ผู้ค้นพบด้วยตัวเอง-และดูว่าเกิดอะไรขึ้น-ความหมายของชีวิตคืออะไร?-เราเกิดมาเพื่ออะไร?--เราเกิดมาเพื่อสะสมเงินทอง,ที่ดิน,บ้าน,รถ,และทรัพย์สินเท่านั้นหรือ--ผมว่าไม่นะ--"ชีวิตน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น"-เราเริ่มเบื่อหน่ายแล้วกับการที่บอกเราว่า-"Believe in me and follow me"--ตอนนี้ศาสนาพุทธกำลังมาปลุกผู้คน-เพื่อได้มารู้ด้วยตัวเองว่า-คืออะไร--สิ่งนี้เราจะไม่สามารถเข้าใจแจ่มแจ้งได้-ถ้าเราเพียงแค่พูดเฉยๆ-เหมือนเราจะไม่มีวันรู้ว่า-แอปเปิ้ลหวานหรือเปรี้ยว-"นอกจากเราจะชิมด้วยตนเอง"
หลวงพ่อชา ท่านได้อุปมาทิ้งท้ายว่า-"ธรรมะที่แท้จริงเหมือนรสของแอปเปิ้ล"-รสของแอปเปิ้ลนี้เราฟังด้วยหูก็ไม่รู้จัก-ดูด้วยตาก็ไม่รู้จักว่ารสมันเปรี้ยวหรือมันหวานอย่างใด-นอกจากคนจะเอาแอปเปิ้ลเข้าไว้ในปากแล้วก็เคี้ยว-มันก็มีเปรี้ยว มีหวาน ขึ้นมาเท่านี้-นั่นแหละเป็น"ปัจจัตตัง"-ไม่ต้องสงสัยแล้วว่ารสของแอปเปิ้ลเป็นอย่างไร?-รสของแอปเปิ้ลมันมีไหม?-ไม่ต้องไปถามคนโน้น-คนนี้อีกต่อไปแล้ว-ปัญหาก็"จบ"!!ที่ตรงนั้นเอง"-หลวงพ่อชา หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
บุญรักษานะ แล้วเจอกันใหม่
No comments:
Post a Comment